xs
xsm
sm
md
lg

งานเข้ารถน้ำมัน เหตุแบตเตอรี่ถูกลง รถไฟฟ้าเตรียมผงาด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ถ้าไม่นับเรื่องความมั่นใจต่อการใช้งาน ระบบชาร์จไฟสาธารณะที่ยังไม่แพร่หลาย และการต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้รถยนต์ อีกปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ถูกระบุว่า ทำให้การใช้รถยนต์ไฟฟ้ายังไม่สามารถขยายตัวมากขึ้นอย่างที่ควรจะเป็นในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก ก็คือ ต้นทุนที่สูงของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ โดยตามข้อมูลของ Kelley Blue Book ราคาซื้อขายเฉลี่ยของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในรุ่นใหม่ในสหรัฐอเมริกา เดือนมิถุนายน อยู่ที่ 48,644 ดอลลาร์ ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่มีราคาขายปลีกที่แนะนำเฉลี่ยอยู่ที่ 56,371 ดอลลาร์

ส่วนต่างเกือบ 8,000 ดอลลาร์ ถือว่าค่อนข้างเยอะมาก เพราะด้วยวงเงินจำนวนนี้ถือว่าเพียงพอที่จะซื้อรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในมือสองได้อีกตั้ง 1 คัน เรียกว่าส่วนต่างและช่องว่างของราคายังห่างมาก แต่ว่ากันว่าความแตกต่างนั้นจะหายไปในไม่ช้า เนื่องจากต้นทุนของแบตเตอรี่ลิเธียมสำหรับใช้ในรถยนต์ไฟฟ้ากำลังลดลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อเปรียบเทียบจากจุดเริ่มต้นในปี 2008 กับปี 2023 ต้นทุนโดยประมาณของชุดแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนของรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ดลดลงถึง 90% จากโดยเมื่อ 16 ปีก่อนตัวเลขจะอยู่ที่ 1,415 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (มีความแปรผันตามอัตราเงินเฟ้อ) แต่ในปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ 139 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ตัวเลขการประมาณการเหล่านี้มาจากสำนักงานเทคโนโลยียานยนต์ของกระทรวงพลังงาน (DOE) ซึ่งบอกว่าตัวเลขดังกล่าวอ้างอิงจากกำลังการผลิตอย่างน้อย 100,000 หน่วยต่อปี


นอกจากนั้นตามข้อมูลของ Goldman Sachs ยังมีความสอดคล้องกัน และยืนยันว่าต้นทุนของแบตเตอรี่โดยประมาณสำหรับปีที่แล้วนั้นอยู่ในช่วงราคานี้ แต่อาจจะเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยขึ้นอยู่กับความแปรผันในเรื่องความต้องการแต่สิ่งที่สำคัญคือ มีการประมาณการว่า ราคาแบตเตอรี่อาจจะลดลงอีก 40% ในช่วงระหว่างปี 2023 ถึง 2025

นั่นเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้มีราคาของรถยนต์พลังไฟฟ้า หรือ BEV ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในที่สุดแล้วก็จะลดราคาลงเมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน และในขณะเดียวกันก็สร้างกำไรให้กับผู้ผลิตได้ การศึกษาวิจัยของ International Council On Clean Transportation ก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่ารถยนต์พลังไฟฟ้าจะมีราคาเท่ากับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2029 เนื่องจากอุปทานลิเธียมที่มากเกินไปจากอุปสงค์ จนทำให้ราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง

อีกสิ่งที่อาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้รถยนต์พลังไฟฟ้ามีราคาถูกลง คือ การมองหานวัตกรรมที่เข้ามาทดแทนแร่หายากอย่างลิธียม โดยนอกจาก BYD แล้ว บริษัท CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ที่สุดในโลกก็พึ่งทดลองใช้โซเดียมมาแทนการใช้งานลิเธียม ซึ่งจะทำให้ราคาแบตฯ ลดลงอีก



อย่างไรก็ตามเซลล์แบตเตอรี่จากโซเดียมนั้นยังไม่สามารถทำให้เก็บพลังงานได้มากจึงนำมาประกอบในรถยนต์ขนาดเล็กที่เน้นการใช้งานระยะสั้นก่อนภายในช่วงปี 2030 แม้ว่าแบตเตอรี่โซเดียมจะไม่ใช่ตัวแทนแบตเตอรี่แบบลิเธียม แต่ก็มาช่วยทำให้ตลาดลิเธียมลดความตึงเครียดในด้านราคาลงในระดับหนึ่งทีเดียว

นอกจากนั้น นาย Markus Hackmann, Managing Director ของบริษัทให้คำปรึกษา P3 Group กล่าวว่า ราคาของแบตเตอรี่มีแนวโน้มจะลดลงเรื่อยๆ เพราะความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้น และเป็นไปตามกลไกรวมถึงทิศทางของลูกค้า

“ปัจจุบันคาดว่า ราคาแบตเตอรี่น่าจะลดลงเหลือ 100 ยูโรต่อ KWh โดยในอีก 3 – 5 ปีข้างหน้า” ผู้เชี่ยวชาญด้านแบตเตอรี่ของ P3 ได้รวบรวมข้อมูลด้านอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั่วโลก ซึ่งพบว่า ทิศทางของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ในตลาดโลกจะปรับราคาลดลง “หากเป็นไปตามนี้จริงราคารถพลังไฟฟ้า ก็จะเข้ามาไกล้กับรถยนต์สันดาปมากขึ้นเรื่อย ๆ”

อีกหนึ่งปัจจัยที่น่าจะผลักให้ผู้ผลิตรถพลังไฟฟ้ามั่นใจมากขึ้น ก็คือ เป้าหมายการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ของ EU ภายในปี 2035 สำหรับการจดทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถขนส่งขนาดเล็กคันใหม่ในสหภาพยุโรป ซึ่งทำให้รถเหล่านี้ต้องปรับตัวเป็นรถยนต์พลังไฟฟ้าไปโดยปริยาย ซึ่งทำให้เกิดอุปสงค์และอุปทานที่เพียงพอด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว และทำให้ราคาน่าจะปรับตัวตามเป็นปกติขึ้นเรื่อย ๆ


ค่าใช่จ่ายระหว่างการใช้งาน ต้องรออีกสักนิด

จุดเด่นอีกประการหนึ่งของรถยนต์พลังไฟฟ้า หรือ BEV คือ ค่าใช้จ่ายในการบริการ การบำรุงรักษา และการซ่อมแซม หรือ Service, Maintenance and Repair ที่ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน อย่างไรก็ตาม ตามหลักการแล้ว รถยนต์ BEV ควรจะมีจุดเด่นในด้าน SMR ที่เหนือกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซล เนื่องจากมีชิ้นส่วนกลไกน้อยกว่า ทำให้โอกาสในการพังเสียหายลดลง และต้องบำรุงรักษาตามปกติน้อยลง แต่ด้วยจำนวนรถยนต์ BEV ที่ยังน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณรถยนต์ในตลาดทั่วโลก ทำให้ไม่สามารถที่จะระบุได้อย่างชัดเจนในเรื่องนี้

“ตัวบ่งชี้ทั้งหมดชี้ชัดว่า ข้อมูลในด้าน SMR สำหรับ BEV ยังน้อยกว่าของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน” Vincent St Claire กรรมการผู้จัดการของ Fleet Assist ซึ่งมีเครือข่ายอู่ซ่อมรถยนต์ทั้งแบบแฟรนไชส์และอิสระ 5,200 แห่งในอังกฤษ กล่าว “อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตอนนี้เราจะอยู่ในช่วงหลังการระบาดใหญ่ของ COVID-19 และ BEV ถูกใช้งานจริงจังมากขึ้น และแม้ว่ารถยนต์ถูกใช้งานมากขึ้นด้วยระยะที่เหมือนกับการใช้งานตามปกติ แต่ภาพรวมของตลาดยังไมได้มีจำนวนที่มากพอ และยังเป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ เท่านั้น จนกว่าเราจะได้ชุดข้อมูลที่ใหญ่กว่าในแง่ของจำนวน BEV เราไม่สามารถพูดได้อย่างมั่นใจสูงว่าปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว”


ในช่วง 10 เดือนแรกของปีที่แล้ว Fleet Assist เปิดเผยว่าจำนวนงาน SMR สำหรับ BEV ในเครือข่ายเพิ่มขึ้น 73% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2021 แต่ยังคงคิดเป็นเพียง 9% ของจำนวนรถยนต์ทั้งหมด โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของงานบริการในด้าน SMR ของบริษัทสำหรับรถยนต์พลังไฟฟ้าในปี 2022 อยู่ที่ 171 ปอนด์ ซึ่งต่ำกว่ารถประเภทอื่นๆ ทั้งหมดรวมถึง ICE และไฮบริด (243 ปอนด์) ถึง 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า


แม้ว่าราคาแบตเตอรี่คิดเป็นต้นทุนประมาณ 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 4 ของราคารถยนต์ทั้งคัน และอาจจะไม่ใช่ดัชนีสำคัญในการกำหนดราคาของรถยนต์ก็จริง แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีและการพัฒนาในรถยนต์พลังไฟฟ้าเองมีความก้าวหน้าขึ้น และการถูกผลักดันให้มีการผลิตที่คำนึงถึงต้นทุนมากขึ้นเพื่อให้ราคาของรถยนต์พลังไฟฟ้าสามารถเข้าถึงคนในวงกว้างได้ง่าย และรวดเร็วขึ้นกว่าที่เป็น สิ่งเหล่านี้คืออีกหลายปัจจัยที่จะช่วยทำให้ตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าขยายตัวมากขึ้น และถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่มีการคาดการณ์เอาไว้ รถยนต์พลังไฟฟ้าก็จะไม่ใช่สิ่งที่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น