วสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจของ 3 การไฟฟ้า ยื่นหนังสิอถึงรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเพื่อนำเสนอและแลกเปลี่ยนข้อมูลในประเด็นด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศและปัญหาราคาค่าไฟฟ้าที่สูงจนมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและประชาชน เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา ภายหลังการหารือได้สั่งการให้จัดทำข้อสรุปในเรื่องที่ผู้แทน 3 การไฟฟ้าได้นำเสนอในที่ประชุม ในการนี้ สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (สร.กฟผ.) ได้นำส่งข้อสรุปดังกล่าว
ทั้งนี้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ 3 การไฟฟ้า มีความห่วงใยต่อร่างแผน PDP 2024 ที่ยังไม่บรรลุจุดประสงค์หลักที่สำคัญในกิจการไฟฟ้าของประเทศใน 2 ประการคือ เรื่องการดูแลความมั่นคงของระบบไฟฟ้าและอัตราค่าไฟฟ้าที่รัฐจะต้องดูแลการบริการจัดการเนื่องจากเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของประชาชนตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ จึงขอเสนอให้พิจารณาทบทวนการจัดทำร่างแผน PDP ใหม่ในประเด็นที่สำคัญดังต่อไปนี้
1. ให้เวลามากขึ้นในการทบทวนร่างแผน PDPเพื่อให้เกิดประสิทธิผลและประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน เนื่องจากปัจจุบันยังมีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองอยู่มากจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเร่งรัดการจัดทำ PDP ๒๐๒๔ โดยควรเปิดรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมให้รอบด้านและทบทวนปรับปรุงร่างแผนใหม่อีกครั้ง
2. ทบทวนเรื่องการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า เนื่องจากเป็นต้นเหตุสำคัญด่านแรกที่จะนำไปสู่การรับซื้อไฟฟ้าที่มากเกินความจำเป็น เหมือนเช่นที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ๒๐ ปี ที่ผ่านมา ซึ่งในร่างแผน PDP ๒๐๒๔ นี้ก็ยังคงใช้แนวคิดเดิมในการพยากรณ์ คือ การใช้สัดส่วนอัตราการเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้ไฟฟ้าต่ออัตราการเติบโตของ GDP (Electricity Elasticity , EE) ที่ประมาณ 1 :1เช่น ถ้า GDP เติบโต 3 .1% ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศจะเพิ่มขึ้น 3.1% แต่เนื่องจากปัจจุบัน ผู้ใช้ไฟฟ้าทุกภาคส่วนมีมาตรการประหยัดไฟฟ้ารูปแบบต่างๆและผลิตไฟฟ้าใช้เองเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าจากระบบไฟฟ้าของประเทศลดลง ดังนั้น จึงควรทบทวนเรื่องการประเมินค่า GDP ใหม่ และใช้สัดส่วน EE ประมาณ 0.75- 0.8: 1 ซึ่งสมมติว่า ค่าเฉลี่ย GDP ใหม่อยู่ที่ 3% ความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2.25 - 2.4 % จะมีผลต่อการต้องมีโรงไฟฟ้าเข้ามาใหม่อย่างมีนัยยะสำคัญ แนวทางนี้สามารถทดลองทำได้เนื่องจากปัจจุบันมีไฟฟ้าสำรองอยู่มากเพียงพออีกหลายปีและสามารถปรับปรุงให้ทันต่อสภาวะการณ์ได้ทุกๆ 2-3 ปี
3. การกำหนดให้มีโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเข้ามาใหม่ ควรต้องให้ค่อยทยอยเข้ามาในระบบให้สมดุลกับกำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าหลักที่มีอยู่เดิมจำนวนมากก่อน เพื่อไม่ให้มีโรงไฟฟ้าหลักเชื้อเพลิงฟอสซิลใหม่ที่ยังมีความจำเป็นต้องมีเพื่อดูแลเรื่องเสถียรภาพของไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเข้ามาในระบบเร็วกว่าที่ควร เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใช้ระยะเวลาในก่อสร้างสั้นเพียง 1-2 ปี การบริหารจัดการให้เพิ่มเข้ามาในระบบทำได้ง่าย
4. โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (Solar Farm) ซึ่งช่วยผลิตไฟฟ้าป้อนให้ระบบในเวลากลางวันมีกำลังการผลิตรวมค่อนข้างมากอยู่แล้ว มีผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศ ปัจจุบันเปลี่ยนไปเกิดขึ้นในช่วงเวลากลางคืน (ประมาณช่วง 3-4 ทุ่ม) ดังนั้นการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบเดิมจะไม่สามารถช่วยลดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดได้ นอกจากนี้หากมีมากเกินไปการดูแลเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าจะทำได้ยากมากขึ้น ในแผน PDP ใหม่นี้ จึงควรให้ความสำคัญกับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำ (Floating Solar) ในเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่เป็นลำดับแรกมากกว่า เนื่องจากจะช่วยผลิตไฟฟ้าในเวลากลางวัน เพื่อเก็บรักษาน้ำในเขื่อนไว้ผลิตไฟฟ้าสนับสนุนความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงในช่วงเวลากลางคืน เป็นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดังนั้นจึงควรกำหนดให้มีโรงไฟฟ้าประเภทนี้ให้มากจนเต็มตามศักยภาพของโรงไฟฟ้าพลังน้ำของประเทศโดยเร็วเป็นลำดับแรกก่อน
สำหรับโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์แบบมีระบบแบตเตอรี่เพื่อเก็บกักพลังงาน (BESS) นั้นการกำหนดช่วงเวลาที่จะเปิดการรับซื้อไฟฟ้าควรให้เหมาะสมกับความพร้อมคือเมื่อเทคโนโลยีมีความลงตัวแล้ว แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีการกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้าที่ไม่สูงเกินไป เช่น ไม่ควรเกินหน่วยละ 3 บาทเพื่อช่วยดึงราคาค่าไฟฟ้าในภาพรวมให้ถูกลง (ปัจจุบันค่าไฟฟ้าฐานอยู่ที่หน่วยละ 3.78บาท)
5. ควรแสวงหาแนวทางการเพิ่มสัดส่วนโรงไฟฟ้าสะอาดเป็นโรงไฟฟ้าหลัก เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิง (Energy Mix) ในการผลิตไฟฟ้าของประเทศในส่วนของโรงไฟฟ้าหลักพึ่งพาการใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติมากถึงร้อยละ 60และโรงไฟฟ้าหลักที่จะเข้ามาใหม่ในระบบไฟฟ้าก็ใช้แต่ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งแหล่งก๊าซธรรมชาติมาจากอ่าวไทย เมียนมา และนำเข้า LNG และในอนาคตจะเหลือเพียงจากอ่าวไทยและการนำเข้า LNGซึ่งการนำเข้า LNG ที่สัดส่วนมีแนวโน้มสูงขึ้นและมีราคาที่ผันผวนส่งผลให้ค่าไฟฟ้าจะไม่ถูกลงเท่าที่ควร ประเทศจะคงอยู่ในวังวนของวัฏจักรค่าไฟฟ้าสูงมากจนรับไม่ได้เหมือนเช่นปัจจุบันจากผลกระทบวิกฤตการณ์โลกด้านเชื้อเพลิงหรือภัยสงครามซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทุกขณะ ทั้งนี้โรงไฟฟ้าหลักที่ไม่ทำให้เกิดปัญหาเรื่องมลภาวะสำหรับประเทศไทยมี 2 ทางเลือกคือ โรงไฟฟ้าพลังน้ำและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งการกำหนดให้มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR)
ในช่วงท้ายของแผน PDPควรพิจารณาทบทวนใน 2 ประเด็น คือ
ประเด็นแรก โรงไฟฟ้า SMR อาจไม่ได้ต้นทุนค่าไฟฟ้าถูกเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ปกติ และมีกำลังผลิตน้อย (300 MW) จึงไม่มากพอที่จะมีผลต่อการช่วยลดราคาค่าไฟฟ้า
ประเด็นที่สอง ซึ่งสำคัญมากกว่าคือ การได้รับการยอมรับจากประชาชนทุกภาคส่วน ซึ่งในการจัดทำ PDP ที่ผ่านมาก็เคยมีการกำหนดให้มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไว้ในช่วงท้ายของแผนเช่นกันแต่ต่อมาก็ต้องถอดออกไป ดังนั้นการจะกำหนดให้มีโรงไฟฟ้า SMR หรือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดปกติไว้ในแผนจึงไม่มีความแตกต่างกันมากในเรื่องความยากของการสื่อสารเพื่อสร้างการยอมรับจากประชาชนและการออกกฎหมายเพื่อการควบคุมที่เกี่ยวข้อง แต่จะมีความแตกต่างอย่างชัดเจนในเรื่องการกระจายความเสี่ยงเรื่องสัดส่วนของโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักและการช่วยดึงราคาค่าไฟฟ้าให้ถูกลง สรุปคือไม่ว่าจะเลือกโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ประเภทใดการใช้ทรัพยากรเพื่อให้สามารถพัฒนาโครงการให้เกิดขึ้นได้จริงไม่แตกต่างกัน
6. ควรทบทวนเรื่องการนำก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ให้มารวมอยู่ในระบบ Pool Gas ของประเทศ เพื่อให้ราคาก๊าซธรรมชาติที่เป็นต้นทุนหลักในการผลิตไฟฟ้ามีราคาถูกลงและเกิดความยุติธรรมในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ
7. ควรให้มีการทบทวนเรื่องความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศเป็นรายภาค เนื่องจากในร่าง PDP ๒๐๒๔ พบว่าในพื้นที่ภาคใต้จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าพึ่งได้ในช่วงเวลากลางคืนต่ำกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด จึงจำเป็นที่จะต้องมีโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ เพื่อคอยดูแลเรื่องความเพียงพอ และการผันผวนของเสถียรภาพระบบไฟฟ้าในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้การส่งไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าภาคตะวันตกจะเป็นส่วนเสริมช่วยสำรองและสนับสนุนเรื่องความมั่นคง ซี่งแนวคิดเรื่องความมั่นคงระบบไฟฟ้าเป็นรายภาคนี้ก็ได้ใช้ในการจัดทำ PDP 2018 มาแล้ว จึงเป็นที่มาของการกำหนดให้มีโครงการโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานีไว้ในแผนเดิม สำหรับการกำหนดให้มีโรงไฟฟ้าใหม่ในภาคตะวันตกตามร่างแผน PDP 2024นั้น ก็เพื่อเป็นการทดแทนโรงฟ้าเดิมในพื้นที่ที่จะหมดอายุลง และคอยช่วยเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าในเขตนครหลวงเป็นหลัก
8. ควรทบทวนเรื่องสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าระหว่างภาครัฐกับเอกชนให้มีความชัดเจน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดกรอบสัดส่วนเอาไว้ ทั้ง ๆ ที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยแนะนำให้ กพช. และ กกพ. ต้องดำเนินการกำหนดกรอบหรือเพดานของสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของเอกชนในระบบผลิตไฟฟ้าของประเทศ แต่ไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใด การมีกรอบสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าที่ชัดเจนจะทำให้การวางแผนของรัฐภาคนโยบาย ภาครัฐที่ผลิตไฟฟ้า และภาคเอกชน สามารถคิดวางแผนงานไว้ล่วงหน้าได้ดีขึ้น ทั้งนี้ ตามร่าง PDP ๒๐๒๔ ภาครัฐคือ กฟผ. จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเหลืออยู่เพียงร้อยละ ๑๗ ซึ่งถือว่าน้อยมากในภารกิจสำคัญที่ต้องดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศ ที่ในอนาคตจะมีความผันผวนมากยิ่งขึ้นจากนโยบายของรัฐที่จะให้มีโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจำนวนมากเพิ่มเข้ามา ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่า การสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ไม่ว่าจะโดยภาครัฐหรือ เอกชน ไม่มีความแตกต่างกันในเรื่องราคาค่าไฟฟ้า เนื่องจากรัฐเป็นผู้ควบคุมและกำหนดราคาต้นทุนค่าไฟฟ้าและราคาเชื้อเพลิง ในขณะที่โรงไฟฟ้าของรัฐสามารถตอบแทนคืนประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนด้วยการนำส่งรายได้เข้ารัฐปีละหลายมื่นล้านบาท รวมทั้งการใช้เป็นกลไกเพื่อดูแลราคาค่าไฟฟ้าและการดูแลผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มเปราะบางเช่นที่ทำอยู่ในปัจจุบัน
9. นอกจากเรื่องการทบทวนการจัดทำ PDP ดังกล่าวข้างต้นแล้ว การจะทำให้ค่าไฟฟ้าถูกลงได้ทันที เห็นควรพิจารณาให้มีการเจรจาเพื่อทบทวนสัญญา PPA กับโรงไฟฟ้าเอกชนในเรื่องการจ่ายเงินค่าความพร้อมจ่าย (AP) ให้ลดลงเหลือน้อยที่สุดเช่น 10-20 สตางค์ต่อหน่วย(ปัจจุบันค่าเฉลี่ย AP ประมาณ 75-80 สตางค์ต่อหน่วย) โดยอาจแลกกับการขยายอายุสัญญาหรือเงื่อนไขอื่นที่เหมาะสม โดยเลือกโรงไฟฟ้าที่ประกอบการมาคุ้มทุนแล้ว (อายุ 7-10 ปี) ทั้งนี้ในเบื้องต้นควรทดลองเจรจาขอความร่วมมือจากโรงไฟฟ้าในเครือของ กฟผ.และปตท. ดูก่อนหากสามารถทำได้ก็จะเกิด QuickWin และใช้เป็นต้นแบบ และควรให้ทบทวนเรื่องการทำสัญญา PPA ใหม่ไว้เพื่อใช้สำหรับโรงไฟฟ้าใหม่ในอนาคตด้วย
10. มีข้อเสนอเพิ่มเติมว่า เนื่องจากเรื่องกิจการไฟฟ้าเป็นเรื่องสำคัญมากต่อการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชน รัฐควรพิจารณากำหนดตัวชี้วัดการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกระตุ้นให้มีความมุ่งมั่นในภารกิจเช่น ต้องบริหารจัดการไม่ให้ราคาค่าไฟฟ้าเกิน 3.90บาทต่อหน่วยภายใน 3 ปี เป็นต้น
ทั้งนี้ สร.กฟผ. ในฐานะตัวแทนของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ 3 การไฟฟ้า มีประเด็นห่วงใยและข้อมูลที่สรุปนำเสนอมานี้ จะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน