ผลสำรวจคุณภาพเบื้องต้นล่าสุดของเจ.ดี. พาวเวอร์พบอีวีมีปัญหามากกว่ารถใช้น้ำมัน และคะแนนคุณภาพของเทสลาที่เคยทิ้งห่างรถยนต์ไฟฟ้าจากค่ายรถดั้งเดิม ปีนี้กลับได้คะแนนเฉลี่ยเท่ากัน ขณะที่โพลล์ของแมคคินซีย์ระบุคนอเมริกัน 46% ที่เป็นเจ้าของอีวีกำลังชั่งใจกลับไปใช้รถเครื่องยนต์สันดาป
การสำรวจคุณภาพเบื้องต้นของบริษัทวิจัยด้านยานยนต์ เจ.ดี. พาวเวอร์ที่เป็นที่จับตามองอย่างกว้างขวางพบว่า ดูเหมือนรถยนต์ไฟฟ้ากำลังทำให้ผู้บริโภคปวดหัวหนัก
การศึกษาของเจ.ดี. พาวเวอร์มาจากการสอบถามผู้ซื้อและผู้เช่าซื้อรถรุ่นปี 2024 เกือบ 100,000 คนที่ครอบครองรถในช่วง 90 วันแรก และเป็นครั้งแรกในรอบ 38 ปีที่บริษัทเริ่มจัดทำการสำรวจที่มีการรวมข้อมูลการนำรถเข้าซ่อมไว้ด้วย ซึ่งพบว่า โดยรวมนั้นรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในมีคะแนนเฉลี่ย 180 PP100 (หรือปัญหา 180 รายการต่อรถ 100 คัน) ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) มีคะแนนเฉลี่ย 266 PP100 สูงกว่ารถใช้น้ำมันถึง 86 คะแนน
ผู้ผลิตรถมักบอกว่า โดยทั่วไปแล้วอีวีจะมีปัญหาน้อยมากและต้องซ่อมน้อยกว่ารถใช้น้ำมันเนื่องจากมีชิ้นส่วนและระบบน้อยกว่า แต่การศึกษาของเจ.ดี. พาวเวอร์กลับพบว่า อีวี ตลอดจนถึงรถปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) ต้องซ่อมมากกว่ารถยนต์ปกติในทุกหมวดหมู่การซ่อม
แฟรงก์ แฮนลีย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการเปรียบเทียบการทำงานของรถยนต์ของเจ.ดี. พาวเวอร์ ระบุในรายงานการศึกษาชิ้นนี้ว่า เจ้าของ BEV และ PHEV ที่มาพร้อมเทคโนโลยีล้ำยุคเผชิญปัญหารุนแรงระดับที่ต้องนำรถเข้าซ่อมสูงกว่าเจ้าของรถใช้น้ำมันถึง 3 เท่า
รายงานของเจ.ดี. พาวเวอร์ไม่พบพัฒนาการที่โดดเด่นเกี่ยวกับคุณภาพของ BEV ในปีนี้ แม้กระทั่งเทสลา ผู้ยิ่งใหญ่ในวงการรถยนต์ไฟฟ้า
ที่ผ่านมาคุณภาพของเทสลาทิ้งห่างคุณภาพอีวีของค่ายรถดั้งเดิม (257 PP100 ต่อ 265 PP100 เมื่อปีที่แล้ว) แต่ผลสำรวจปีนี้คะแนนเฉลี่ยของเทสลากับอีวีของค่ายรถดั้งเดิมอยู่ที่ 266 PP100 เท่ากัน
เจ.ดี. พาวเวอร์ อธิบายว่า เนื่องจากลูกค้าไม่ค่อยพอใจนักที่เทสลาตัดอุปกรณ์ควบคุมดั้งเดิมออก เช่น ก้านไฟเลี้ยวและก้านควบคุมที่ปัดน้ำฝน ซึ่งทำให้คะแนนของรถรุ่นปี 2024 แย่ลง
ปัญหาคุณภาพเบื้องต้นของอีวีเกิดขึ้นพร้อมกับที่ดีมานด์รถยนต์ไฟฟ้าในอเมริกาชะลอลง
การขาดโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชาร์จ ความกังวลเกี่ยวกับระยะทางวิ่งมาตรฐาน และราคา ล้วนเป็นอุปสรรคขัดขวางการยอมรับอีวี ซึ่งเมื่อบวกกับความกังวลด้านคุณภาพและค่าซ่อมแพง มีแนวโน้มว่า น่าจะยิ่งส่งผลกระทบต่อหนึ่งในเป้าหมายสำคัญสูงสุดของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดปัจจุบันคือการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้อีวีมากขึ้น
นอกจากนั้น ผลสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคของแมคคินซีย์ยังพบว่า คนอเมริกัน 46% ที่เป็นเจ้าของอีวีกำลังพิจารณากลับไปใช้รถเครื่องยนต์สันดาป ขณะที่ผู้บริโภคทั่วโลกที่คิดแบบนี้มีเพียง 29%
ทั้งนี้ ผลศึกษาของเจ.ดี. พาวเวอร์พบว่า แรม รถกระบะของสเตลแลนทิส ได้คะแนนนำในอันดับรวมโดยมีคะแนน 149 PP100 ตามด้วยเชฟโรเล็ต, ฮุนได, เกีย และบูอิค ขณะที่ปอร์เช่ได้คะแนน 172 PP100 ชนะเลิศแบรนด์พรีเมียมอื่นๆ เช่น เลกซัส และเจเนซิส
ในทางกลับกัน โพลสตาร์, ดอดจ์, เทสลา, ริเวียน, อาวดี้และวอลโว่ ได้คะแนนคุณภาพรวมโหล่สุด
รถยนต์ไฟฟ้ามักมาพร้อมฟีเจอร์ไฮเทคล้ำสมัยมากกว่ารถใช้น้ำมัน ซึ่งอาจทำให้เจ้าของรถมือใหม่สับสน เจ้าของอีวียังพบปัญหาเกี่ยวกับเทคโนโลยีในรถมากกว่ารถใช้น้ำมัน โดยปัญหากว่า 30% ที่มีการรายงานมาจากระบบควบคุม อินโฟเทนเมนต์ ฯลฯ
ปัญหาอื่นๆ ที่พบทั้งในอีวีและรถใช้น้ำมันคือ ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) ที่อาจส่งสัญญาณเตือนผิดพลาด รบกวนสมาธิคนขับ และทำให้เกิดความเครียดโดยไม่จำเป็น อาทิ ระบบแจ้งเตือนสถานะผู้โดยสารที่เบาะหลังที่เป็นต้นเหตุของปัญหา 1.7 รายการต่อรถ 100 คัน โดยมักมีการแจ้งเตือนทั้งที่ไม่มีใครอยู่ที่เบาะหลัง
นอกจากนั้น แอปเปิล คาร์เพลย์ และแอนดรอยด์ ออโต้ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ในรถที่ได้รับความนิยมสูงสุด ยังติด 1 ใน 10 ปัญหาที่เจ้าของรถใหม่พบมากที่สุด โดยเจ้าของรถบางคนบอกว่า เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนยาก