Toyota Land Cruiser (250 Series) ใหม่ ถูกเผยโฉมอย่างเป็นทางการก่อนเริ่มวางจำหน่ายที่ญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา และยุโรป มีทั้งขุมพลังไฮบริดเทอร์โบ 2.4 ลิตร และดีเซล 2.8 ลิตร พร้อมส่งรุ่นพิเศษ First Edition วางขายจำนวนจำกัด
โตโยต้า แลนด์ครูซเซอร์ ใหม่ ได้รับการพัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์ม GA-F ที่เน้นความทนทานเป็นพิเศษ โดยเวอร์ชันที่วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาจะถูกติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินไฮบริด 4 สูบ i-FORCE MAX ความจุ 2.4 ลิตร พ่วงเทอร์โบชาร์จ ให้กำลังสูงสุด 326 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 630 นิวตัน-เมตร (465 ปอนด์ฟุต) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Full-time ที่มีระบบ Center Locking Differential และระบบลิมิเต็ดสลิป Auto LSD
ขณะที่เวอร์ชันยุโรปและญี่ปุ่นจะถูกติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ความจุ 2.8 ลิตร รหัส 1GD-FTV ให้กำลังสูงสุดอยู่ที่ 204 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Direct Shift-8AT
นอกจากนี้ โตโยต้ายังมีแผนเสริมทัพด้วยระบบไมลด์ไฮบริด 48 โวลต์ พ่วงเข้ากับเครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตรบล็อกเดียวกัน โดยยังคงให้แรงม้าและแรงบิดเท่าเดิม แต่จะช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองลงเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์สันดาปล้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการขับขี่ในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น มีแผนเปิดตัวในฝั่งยุโรปตะวันตกและทวีปออสเตรเลียภายในปี 2568 ที่จะถึงนี้
โตโยต้า แลนด์ครูซเซอร์ (250 Series) ยังถือเป็นครั้งแรกที่ได้รับการติดตั้งระบบพวงมาลัยไฟฟ้า (EPS) ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมพวงมาลัยได้ง่ายขึ้น และลดแรงสั่นสะเทือนจากพื้นถนนมายังพวงมาลัย และเพื่อรองรับการทำงานของระบบช่วยประคองรถให้อยู่ในเลน (Lane Tracing Assist) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบความปลอดภัยขั้นสูง Toyota Safety Sense นั่นเอง
อีกทั้งยังมีการติดตั้งเทคโนโลยี SDM หรือ Stabilizer with Disconnecting Mechanism ที่สามารถปลดการทำงานของเหล็กกันโคลง (Anti-roll bar) ผ่านปุ่มควบคุมภายในห้องโดยสาร ซึ่งโตโยต้าระบุว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมบนพื้นผิวขรุขระ เพิ่มความสบายในการโดยสาร และยังช่วยให้การขับขี่บนทางเรียบง่ายขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ลูกค้าชาวสหรัฐอเมริกาและยุโรปยังสามารถจับจองเป็นเจ้าของรุ่นพิเศษที่เรียกว่า "First Edition" ที่มาพร้อมไฟหน้าทรงกลมดีไซน์คลาสสิก, ตัวถังภายนอกตกแต่งด้วยสีทูโทน และรายละเอียดการตกแต่งพิเศษอื่นๆ จำนวนจำนวน 5,000 คันสำหรับลูกค้าในสหรัฐฯ และ 3,000 คันสำหรับลูกค้าชาวยุโรป
