น่านฟ้าเริ่มเปิด การจัดงานระดับโลกเริ่มกลับมาอีกครั้ง แน่นอนว่าสถานการณ์ COVID-19 แม้ว่าจะยังมีการระบาดอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไปเหมือนกับช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และบรรดางานแสดงรถยนต์หลายต่อหลายรายที่เคยหยุดไปก็เริ่มกลับมาจัดอีกครั้ง Detroit Motoeshow ไล่มา Paris Motor Show และล่าสุดคืองาน Eicma ที่ถือเป็นที่สุดของโลก 2 ล้อหรือมอเตอร์ไซค์ก็มีการกลับมาจัดอีกครั้งเช่นกัน
Eicma ถือเป็นงานแสดงมอเตอร์ไซค์ระดับชั้นแนวหน้าของโลก ซึ่งเมื่อก่อนอาจจะคุ้นเคยกันในชื่อ Milan Motorcycle Show สำหรับปี 2022 มีการจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 8-13 พฤศจิกายน โดยมีบรรดามอเตอร์ไซค์และผู้ที่อยู่ในธุรกิจนี้ร่วมกันแล้วประมาณ 2,000 รายมาร่วมจัดแสดงซึ่งรูปแบบของงานนั้นจะเป็นส่วนผสมในแบบ B2B และ B2C เข้าด้วยกัน จึงเหมาะกับทั้งผู้ที่ประกอบธุรกิจและผู้ใช้งานในการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงานนี้
ปีนี้ทาง ไทยฮอนด้า ได้มีการเชิญสื่อมวลชนไทยเดินทางไปสัมผัสความยิ่งใหญ่ของงาน เช่นเดียวกับการที่พวกเข้าเองได้มีการเปิดตัวมอเตอร์ไซค์ใหม่ที่น่าสนใจออกมาหลายต่อหลายรุ่น ซึ่งบางรุ่นจะมีความเกี่ยวพันกับตลาดเมืองไทยในฐานะของหนึ่งในโปรดักต์ที่จะเข้ามาทำตลาด
เมื่อมองในแง่ของการเป็นส่วนหนึ่งของงาน “ฮอนด้า” ในฐานะแบรนด์อันดับต้นๆ ในโลก 2 ล้อย่อมไม่พลาดที่จะโชว์ศักยภาพของตัวเองให้กับแฟนๆ ทั่วโลกได้สัมผัสและสร้างความน่าตื่นตาตื่นใจได้อย่างดี โดยสิ่งที่นำมาจัดแสดงบนพื้นที่ของ Hall13 นั้นมีมากมายหลายรุ่น และที่เด่นๆ ก็คือ เปิดตัวรุ่นใหม่ๆ อย่าง XL750 Transalp, CL500, CMX1100T Rebel, Forza350 และ Forza125 ที่ขาดไม่ได้และแม้ว่าจะมีการเปิดตัวออกมาก่อนหน้างานอย่าง CB750 Hornet ก็ยังถือว่าได้รับความสนใจ เพราะเป็น 1 ใน 3 มอเตอร์ไซค์ที่จะเข้ามาทำตลาดในบ้านเราเร็วๆ นี้ เช่นเดียวกับ XL750 Transalp และ CL500
เราลองมาดูรายละเอียดของ 3 รุ่นที่น่าสนใจซึ่งจะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย
CB750 Hornet ถือเป็นมอเตอร์ไซค์สปอร์ตที่น่าสนใจ เพราะเป็นการพลิกโฉมการออกแบบให้ดูสวยสปอร์ตและมีความร่วมสมัย แถมยังผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับความงดงามของเฟรมและตัวรถ พร้อมถังน้ำมันทรงปีกแมลงอันเป็นเอกลักษณ์เพื่อเน้นย้ำบุคลิกสปอร์ตของ Hornet ดุดัน สมรรถนะสูง ด้วยเครื่องยนต์ 2 สูบ 755 ซึซีมีแรงบิดสูง ตอบสนองการขับขี่ด้วยอัตราเร่งที่เพลิดเพลินในทุกสถานการณ์ เฟรมน้ำหนักเบาแบบ Diamond Frame โช้คหน้าแบบหัวกลับ พร้อมโช้คหลังแบบ Pro Link มีระบบขับขี่ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกชุดค่าผสมที่ต้องการได้เอง ตามสไตล์การขับขี่ของแต่ละคน
นอกจากนั้นตัวรถยังมาพร้อมหน้าจอสี TFT ขนาด 5 นิ้ว ซึ่งให้ข้อมูลสำคัญอย่างชัดเจน เชื่อมต่อได้ด้วย HSVCs (Honda Smartphone Voice Control system) ระบบสั่งงานด้วยเสียง และมีระบบหยุดฉุกเฉินหรือ Emergency Stop System เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่
XL750 Transalp ได้รับการออกแบบโดยศูนย์วิจัยและพัฒนา R&D ของฮอนด้ากรุงโรม ประเทศอิตาลี สืบทอดจิตวิญญาณอันโดดเด่นของ Transalp ในอดีต โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ มาพร้อมกับไฟ LED รอบคัน ตัวรถออกแบบเพื่อรองรับการขับขี่หลากหลายรูปแบบ ใช้เฟรมแบบไดมอนด์น้ำหนักเบา ให้ความคล่องตัวสูงทั้งบนทางเรียบ และทางฝุ่น รองรับแรงกระแทกด้วยโช้กหน้าโชว่า 43mm และโช้คหลังแบบ Pro-Link พร้อมล้อหน้าขนาด 21 นิ้วที่จับคู่กับล้อหลังขนาด 18 นิ้ว พร้อมระบบเบรก ABS ที่สามารถเลือกปิดการใช้งานที่ล้อหลังได้
ตัวรถใช้เครื่องยนต์ 2 สูบเรียง 755 ซีซีให้แรงบิดสูงในช่วงรอบต่ำถึงกลาง โดยมีแรงบิดสูงสุด 7.64 กก-ม. ที่ 7,250 รอบต่อนาที สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่ได้ถึง 5 โหมด พร้อมระบบควบคุม HSTC (Honda Selectable Torque Control) และอีกความพิเศษคือ หน้าจอสี TFT ขนาด 5 นิ้ว สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง Android และ iOS ผ่านระบบสั่งการด้วยเสียงจากสมาร์ทโฟน (HSVCs) Honda Smartphone Voice Control system พร้อมด้วยไฟฉุกเฉิน (Emergency Stop Signal) ให้เพื่อนร่วมทางรับรู้เมื่อเบรกกระทันหัน
CL500 เป็นผลงานที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจาก CL Series ที่เปิดตัวออกมาในยุคทศวรรษที่ 60 และ 70 นับเป็นรถจักรยานยนต์ในสไตล์ Casual Scrambler ที่ผสมผสานระหว่างเสน่ห์เรโทรกับความไฮเทคได้อย่างลงตัว
ตัวรถเน้นความสวยงามด้วยตัวถังสุดสวยพร้อมไฟหน้า LED ไฟเลี้ยว LED แฮนด์ยกสูง ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 2 สูบ 471 ซีซี แรงบิดสูงสุด 43.3 นิวตัน-เมตร หรือ 4.4 กก.-ม. ระบบกันสะเทือนประกอบด้วยโช้คหน้าขนาด 41 มม. พร้อมยางหุ้ม และโช้คหลังแบบปรับได้ ล้อหน้าขนาด 19 นิ้วและด้านหลังขนาด 17 นิ้ว ผสานกันเป็นลุคใหม่แตกต่างอย่างมีสไตล์
ปิดท้ายกับการพัฒนาเพื่อรองรับกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ซึ่งในตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้านั้น ทางฮอนด้ามอเตอร์ไซค์ก็มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้นมารองรับกับความต้องการในส่วนนี้ด้วยเช่นกันกับรุ่น EM1 e: ซึ่งถือเป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่ฮอนด้าจะเปิดตัวในยุโรป สอดคล้องกับนโยบายที่ Honda Motor ประกาศแผนที่จะเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 10 รุ่นทั่วโลกภายในปี 2025 นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญของ Honda สู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน
ชื่อรุ่น EM ย่อมาจาก Electric Moped มีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองหาวิธีเดินทางในเมืองที่ง่ายและ
สนุกในคราวเดียวกัน รถรุ่นนี้เป็นรถคอมแพคพื้นเรียบ (Flat-Floored) ที่มาพร้อมกับ Smoothed Styling แตกต่างและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร EM1 e: ถูกออกแบบมาสำหรับการเดินทางระยะสั้นในเมือง และทำให้การเดินทางไปทำงานหรือเรียนนั้นมีประสิทธิภาพ เงียบ และไม่มีมลพิษใดๆ ทำให้รถ EM1 e: กลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการเดินทางของคนเมือง
สำหรับแบตเตอรี่เป็นแบบ Honda Mobile Power Pack e: มีความทนทาน และคุณภาพ จุดเด่นของ Mobile Power Pack (MMP) ถูกออกแบบให้ทนทานต่อสภาพอากาศที่หลากหลาย ทนความชื้น แรงกระแทก และการสั่นสะเทือน โดยการชาร์จ 1 ครั้งสามารถแล่นทำระยะทางได้ราวๆ 40 กิโลเมตร และทั้งระบบถูกออกแบบให้ชุดแบตเตอรี่ MMP สามารถถอดออกและใส่ชุดใหม่ลงไปได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ซึ่งผู้ใช้งานสามารถทำเองที่บ้านได้
ทั้งหมดคือ มอเตอร์ไซค์ใหม่ที่น่าสนใจของฮอนด้าที่เปิดตัวออกมาในงานนี้ แน่นอนว่า 3 รุ่นแรกคือ CB750 Hornet XL750 Transalp (นำเข้าจากญี่ปุ่น) และ CL500 (ประกอบในประเทศไทย) นักบิดชาวไทยและแฟนๆ ของ Honda อดใจรอได้เลย เพราะมีขายอย่างแน่นอนในปีหน้า ส่วนมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าถือว่าน่าเสียดายมาก เพราะในช่วงแรกจะเน้นทำตลาดเฉพาะในยุโรปเท่านั้น