โฟล์กสวาเกนปล่อยทีเซอร์รถกระบะ “Amarok” โฉมใหม่ ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ ชูไฮไลต์ด้วยเทคโนโลยีไฟหน้า IQ Light ที่สามารถปรับการทำงานของไฟสูงแบบแอลอีดีเพื่อป้องกันแยงสายตาผู้ร่วมทาง โดยจะมีขุมพลังดีเซล V6 TDI ขนาด 3.0 ลิตร เป็นหนึ่งในทางเลือกอย่างแน่นอน
กระบะ Amarok เจเนอเรชันใหม่ถูกพัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์มเดียวกับ ฟอร์ด เรนเจอร์ โฉมล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวในประเทศไทยได้เพียงไม่นาน โดยมีขนาดความยาวตัวถังตลอดคันอยู่ที่ 5,350 มิลลิเมตร เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า 100 มิลลิเมตร และความยาวฐานล้อ 3,270 มิลลิเมตร เพิ่มขึ้นจากเดิม 175 มิลลิเมตร ซึ่งโฟล์กสวาเกนระบุว่าจะส่งผลให้มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวางยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับโอเวอร์แฮงก์หน้า-หลังที่สั้นลงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่แบบออฟโรด และช่วงล่างที่สามารถรับน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 1.2 ตัน
Amarok โฉมใหม่จะถูกติดตั้งไฟหน้าแบบแอลอีดีเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย ขณะที่รุ่นบนจะถูกเสริมด้วยไฟหน้าแบบ Matrix LED ที่มีเทคโนโลยี IQ Light ซึ่งถูกติดตั้งลงในรถยนต์นั่งของโฟล์กสวาเกนรุ่นอื่นๆ มาแล้ว โดยสามารถเลือกปิดไฟสูงเฉพาะจุดเพื่อป้องกันแยงสายตาผู้ร่วมทาง และสามารถส่องสว่างไปทางด้านข้างในขณะเลี้ยวเพื่อเพิ่มความปลอดภัยขณะขับขี่ในเวลากลางคืน อีกทั้งยังสามารถส่องสว่างด้วยความเข้มของแสงถึง 900 ลูเมนส์ มากกว่าไฟหน้าทั่วไปถึง 2 เท่า
ก่อนหน้านี้โฟล์กสวาเกนเคยเผยภาพสเก็ตช์ภายในห้องโดยสารของ Amarok ซึ่งแสดงให้เห็นถึงหน้าจออินโฟเทนเมนท์แนวตั้งที่ถูกยกมาจาก ฟอร์ด เรนเจอร์ รวมถึงหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัลขนาดใหญ่ ขณะที่การตกแต่งภายในห้องโดยสารไม่ว่าจะเป็นแผงคอนโซล, แผงประตู รวมถึงปุ่มควบคุมต่างๆ จะถูกยกมาจากกระบะฟอร์ดด้วยเช่นกัน เสริมด้วยหลังคาซันรูฟและห้องโดยสารตกแต่งด้วยสีทูโทนเป็นทางเลือก
ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับขุมพลังของ Amarok ออกมา แต่แน่นอนว่าจะมีเครื่องยนต์ดีเซล V6 TDI ขนาด 3.0 ลิตรเป็นหนึ่งในทางเลือก แต่ยังคงต้องลุ้นว่าจะเป็นเครื่องยนต์ที่โฟล์กสวาเกนพัฒนาขึ้นเอง หรือยกมาจากฟอร์ดเช่นเดียวกัน โดยลูกค้าสามารถเลือกได้ทั้งตัวถังแบบซิงเกิลแค็บ 2 ประตู หรือดับเบิลแค็บ 4 ประตู โดยไม่มีตัวถังแบบตอนครึ่งให้เลือกเหมือนที่นิยมในบ้านเรา
ส่วนกำหนดการเปิดตัวจะมีขึ้นในวันที่ 7 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ ก่อนจะเริ่มประกอบในโรงงานที่แอฟริกาใต้และอาร์เจนตินาเพื่อส่งมอบไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกไม่เกินสิ้นปี 2565 นี้ ต่างจากโฉมปัจจุบันที่ถูกผลิตขึ้นในเมืองฮันโนเฟอร์ ประเทศเยอรมนี สำหรับทำตลาดให้แก่ลูกค้าชาวยุโรป