มิตซูบิชิ มอเตอร์ ประเทศไทย ประกาศยุติการทำตลาดรถยนต์นั่งที่ใช้เครื่องยนต์ทุกรุ่นใน 2 ปี มุ่งหน้าเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนเป็น มอเตอร์ไฟฟ้า ทุกรูปแบบทั้ง BEV , PHEV และไฮบริด พร้อมเปิด เอ็กซ์แพนเดอร์ โฉมไมเนอร์เชนจ์ ต่อยอดแรลลี่ อาร์ตรุ่นพิเศษ ใน ไทรทัน และมิราจ

นายเออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้วางแผนตามนโยบายของบริษัทแม่ในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์รถยนต์ของมิตซูบิชิ โดยจะยุติการทำตลาดรถยนต์นั่งที่ใช้เครื่องยนต์ทุกรุ่นในประเทศไทย และเปลี่ยนมาเป็นระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแทนใน 2 ปี
ซึ่งระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าจะหมายความรวมถึง รถไฟฟ้าชนิดใช้พลังงานจากแบตเตอรี่, รถปลั๊กอินไฮบริด และรถไฮบริด โดยยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจะเป็นรุ่นใดบ้างที่จะทำตลาดในอนาคต รวมถึงจะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการปรับปรุงไลน์การผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางดังกล่าว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยแผนงานได้ในขณะนี้

“นับตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป มิตซูบิชิ จะทำตลาดด้วยรถยนต์นั่งที่มีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการขายให้มากถึง 50% ภายในปี 2573 ส่วนรถกระบะอีวี เมื่อมองถึงลักษณะการใช้งานและความพร้อมสำหรับการเดินทางไกล กระบะอีวีจึงไม่เหมาะสมในเวลานี้ แต่อนาคตเมื่อตลาดพร้อม มีความเป็นไปได้อย่างแน่นอน” นายโคอิโตะ กล่าว
ส่วนการสนับสนุนของภาครัฐด้วยนโยบายเกี่ยวกับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ถือว่าสอดคล้องและเป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว โดยในช่วงเริ่มต้นทางมิตซูบิชิได้นำร่องด้วยการนำเอา รถมินิแวนไฟฟ้า ให้กับไปรษณีย์ไทยทดลองใช้งานเพื่อศึกษาข้อมูล หากผลตอบรับดีอาจจะนำเข้าหรือขึ้นไลน์ผลิตในประเทศไทยมีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น

นายเออิอิชิ โคอิโตะ กล่าวว่าบริษัท ได้มีการเปิดตัวรถยนต์รุ่น เอ็กซ์แพนเดอร์ ตั้งแต่ปี 2561 มียอดขายสะสมในไทยกว่า 44,000 คัน เพื่อกระตุ้นตลาดจึงได้มีการแนะนำเอ็กซ์แพนเดอร์โฉมใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงทั้งภายนอก,ภายในและระบบขับเคลื่อน โดยจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการและประกาศราคาในงานมอเตอร์โชว์ ส่วนการจำหน่ายจะเริ่มต้นประมาณกลางเดือนเมษายนี้

ขณะเดียวกันยังได้แนะนำรถยนต์รุ่นพิเศษแรลลี่อาร์ตอีก 2 รุ่น ได้แก่ ไทรทัน แรลลี่อาร์ต ดับเบิลแค็บ และ มิราจ แรลลี่ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ที่ชื่นชอบแรลลี่อาร์ตในประเทศไทย
ทั้งนี้ ปัจจุบันรถยนต์นั่งของมิตซูบิชิที่จำหน่ายในไทย ได้แก่ มิราจ , แอททราจ , เอ็กซ์แพนเดอร์ และ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี โดยมีเพียงรุ่นเอ็กซ์แพนเดอร์ที่นำเข้ามาจำหน่ายจากประเทศอินโดนีเซีย ขณะที่รุ่นอื่นๆ เป็นการผลิตในประเทศไทย
นายเออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้วางแผนตามนโยบายของบริษัทแม่ในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์รถยนต์ของมิตซูบิชิ โดยจะยุติการทำตลาดรถยนต์นั่งที่ใช้เครื่องยนต์ทุกรุ่นในประเทศไทย และเปลี่ยนมาเป็นระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแทนใน 2 ปี
ซึ่งระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าจะหมายความรวมถึง รถไฟฟ้าชนิดใช้พลังงานจากแบตเตอรี่, รถปลั๊กอินไฮบริด และรถไฮบริด โดยยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจะเป็นรุ่นใดบ้างที่จะทำตลาดในอนาคต รวมถึงจะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการปรับปรุงไลน์การผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางดังกล่าว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยแผนงานได้ในขณะนี้
“นับตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป มิตซูบิชิ จะทำตลาดด้วยรถยนต์นั่งที่มีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการขายให้มากถึง 50% ภายในปี 2573 ส่วนรถกระบะอีวี เมื่อมองถึงลักษณะการใช้งานและความพร้อมสำหรับการเดินทางไกล กระบะอีวีจึงไม่เหมาะสมในเวลานี้ แต่อนาคตเมื่อตลาดพร้อม มีความเป็นไปได้อย่างแน่นอน” นายโคอิโตะ กล่าว
ส่วนการสนับสนุนของภาครัฐด้วยนโยบายเกี่ยวกับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ถือว่าสอดคล้องและเป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว โดยในช่วงเริ่มต้นทางมิตซูบิชิได้นำร่องด้วยการนำเอา รถมินิแวนไฟฟ้า ให้กับไปรษณีย์ไทยทดลองใช้งานเพื่อศึกษาข้อมูล หากผลตอบรับดีอาจจะนำเข้าหรือขึ้นไลน์ผลิตในประเทศไทยมีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น
นายเออิอิชิ โคอิโตะ กล่าวว่าบริษัท ได้มีการเปิดตัวรถยนต์รุ่น เอ็กซ์แพนเดอร์ ตั้งแต่ปี 2561 มียอดขายสะสมในไทยกว่า 44,000 คัน เพื่อกระตุ้นตลาดจึงได้มีการแนะนำเอ็กซ์แพนเดอร์โฉมใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงทั้งภายนอก,ภายในและระบบขับเคลื่อน โดยจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการและประกาศราคาในงานมอเตอร์โชว์ ส่วนการจำหน่ายจะเริ่มต้นประมาณกลางเดือนเมษายนี้
ขณะเดียวกันยังได้แนะนำรถยนต์รุ่นพิเศษแรลลี่อาร์ตอีก 2 รุ่น ได้แก่ ไทรทัน แรลลี่อาร์ต ดับเบิลแค็บ และ มิราจ แรลลี่ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ที่ชื่นชอบแรลลี่อาร์ตในประเทศไทย
ทั้งนี้ ปัจจุบันรถยนต์นั่งของมิตซูบิชิที่จำหน่ายในไทย ได้แก่ มิราจ , แอททราจ , เอ็กซ์แพนเดอร์ และ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี โดยมีเพียงรุ่นเอ็กซ์แพนเดอร์ที่นำเข้ามาจำหน่ายจากประเทศอินโดนีเซีย ขณะที่รุ่นอื่นๆ เป็นการผลิตในประเทศไทย