เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังคงสร้างความคึกคักให้กับตลาดรถยนต์ของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวโมเดลที่ 3 ของปีนี้ Haval Jolion ที่สามารถสร้างกระแสกลายเป็นจุดสนใจของผู้ที่กำลังมองหารถยนต์อเนกประสงค์ได้เป็นอย่างดี

สำหรับข้อมูลเบื้องต้นมีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการในช่วงของการทดลองขับคราวนี้ Haval Jolion มากับทางเลือก 3 รุ่นย่อย Ultra , Pro และ Tech พร้อมการเปิดรับจองสิทธิ์ภายใต้เงื่อนไข อัลต้า ดีล ที่มอบส่วนลดเป็นมูลค่าสูงสุดประมาณ 175,000 บาท มีทั้งดอกเบี้ย 0% และประกันภัยชั้นหนึ่ง เป็นต้น
ทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง ไม่พลาดการเข้าร่วมขับขี่ บนเส้นทางกรุงเทพฯ-เขาใหญ่-กรุงเทพฯ แบบวันเดียวจบรวมระยะทางกว่า 400 กม. ความรู้สึกแรกของการขับขี่ Haval Jolion จะเป็นอย่างไรเชิญติดตาม

ไฮบริด190 แรงม้า
เริ่มกันด้วยเรื่องราวพื้นฐานของ Haval Jolion กันสักหน่อย โครงสร้างตัวถังพัฒนาบนพื้นฐานของแพลตฟอร์ม LEMON ที่มีความยืดหยุ่นรองรับเทคโนโลยีการขับเคลื่อนได้หลายรูปแบบทั้งเครื่องยนต์, ไฮบริด, ปลั๊กอินไฮบริด และ รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่
ขนาดของตัวรถสั้นกว่ารุ่นพี่อย่าง H6 และเตี้ยกว่าด้วย ส่วนความกว้างใกล้เคียงกัน หากให้เปรียบเทียบกับคู่แข่งขนาดที่น่าจะตรงกันมากที่สุดคือ โตโยต้า โคโรลล่า ครอส ส่วนอีกหนึ่งคู่แข่งที่เปิดตัวในเวลาไล่เรี่ยกันอย่าง ฮอนด้า เอชอาร์-วี จะมีขนาดที่เล็กกว่าอย่างมีนัย โดยระยะฐานล้อ Haval Jolion ยาวกว่าถึง 90 มม.













ส่วนหัวใจ เป็นการผสานการทำงานระหว่าง เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร DOHC กำลังสูงสุด 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 125 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 156 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร โดยเมื่อทำงานร่วมกันจะได้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 375 นิวตันเมตร
ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ DHT ที่มี 2 สปีดคือ ชุดความเร็วต่ำและความเร็วสูง แบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียม ไอออน ติดตั้งทางด้านท้ายรถระหว่างซุ้มล้อหลัง ระบบช่วงล่างหน้า แบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชัน บีม พร้อมเหล็กกันโคลง ดิสก์เบรก 4 ล้อ โดยรุ่น Ultra จะมากับล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ส่วนรุ่นอื่นเป็นขนาด 17 นิ้ว

การออกแบบภายใน หรูหราตามสไตล์ของเกรท วอลล์ มอเตอร์ ทุกรุ่นที่ทำตลาดในประเทศไทย วัสดุภายในห้องโดยสารทำจากหนังสังเคราะห์ รวมถึงเบาะนั่ง ที่สัมผัสแล้วรู้สึกไม่แตกต่างจากหนังแท้เท่าใดนัก โดย ในรุ่น Ultra และ Pro ปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทางเฉพาะผู้ขับขี่ รวมถึงมีการเพิ่มปุ่มสั่งงาน เพื่อการใช้งานที่สะดวกขึ้น
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาอย่างครบครัน เช่น ระบบสั่งการด้วยเสียง , ระบบอัพเกรดผ่านออนไลน์ (FOTA) ช่องปรับอากาศทางด้านหลัง (ยกเว้นรุ่น tech) ระบบปรับอากาศแยกซ้าย-ขวา เฉพาะรุ่น Ultra เพิ่มตัวกรองอากาศ PM2.5 หน้าจอระบบสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว ในรุ่น Ultra และรุ่นอื่นเป็นขนาด 10.25 นิ้ว

ระบบเสริมความปลอดภัย มีมากกว่า 30 รายการ คัดเฉพาะที่โดดเด่น เช่น ระบบเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่และกล้องมองรอบคัน 360 องศา (เฉพาะรุ่น Ultra) , ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ, ระบบเบรกฉุกเฉินบนทางตรงและทางแยก, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและอยู่กลางเลน, ระบบเตือนการเปิดประตู และถุงลมนิรภัย 6 จุด ติดตั้งเป็นมาตรฐานในทุกรุ่นย่อย


เร่งดีสมตัว ช่วงล่างหนึบ
ก่อนที่จะออกเดินทางขับกันยาวๆ ทางทีมงานของเกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้จัดให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับแบบสั้นๆ ในสนามจำลองเพื่อดูการใช้งานระบบต่างๆ ที่เด่น เริ่มด้วย การทดลองอัตราเร่งช่วงออกตัว พบว่ามีระบบ Launch Control ติดตั้งมาให้ด้วย และลักษณะการทำงานเหมือนกับของปอร์เช่ กล่าวคือ ใช้การเหยียบเบรกและเหยียบคันเร่งจนมิดเท้า แต่มีเงื่อนไขคือ ต้องปลดระบบช่วยควบคุมการทรงตัวออกเสียก่อนจึงจะใช้งานได้
การออกตัวทำได้อย่างกระฉับกระเฉงอัตราเร่งให้ความรู้สึกดี ทันใจไม่มีการรอรอบ จากนั้น เป็นการทดลองเบรกหนัก Haval Jolion ทำได้ประทับใจเช่นเดียวกัน ส่วนอีกจุดที่ให้ลองคือการใช้งานระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแปรผันตามคันหน้า ใช้งานได้จริง แต่หากคันหน้าเลี้ยวโค้งลึก ระบบจะตัดการทำงาน

สุดท้ายจบด้วยการลองใช้งาน single padal คือใช้เพียงคันเร่งเท่านั้น โดยหลักการทำงานแบบเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าหลายๆ รุ่น ซึ่งอาศัยการหน่วงของมอเตอร์ไฟฟ้า จากการถอนคันเร่ง เพื่อให้รถสามารถหยุดสนิทได้โดยที่ไม่ต้องเหยียบเบรกแต่อย่างใด
เมื่อลองครบถ้วนเข้าสู่ช่วงของการทดลองขับแบบทางยาวมุ่งหน้าเขาใหญ่ทั้งไปและกลับในวันเดียว อัตราเร่งบนถนนจริง ถือว่าทำได้ดี สมกับขนาดของตัวรถ ไม่ได้พุ่งพล่านหรือแรงแบบหลังติดเบาะ ขอใช้คำว่า ทันใจ จัดให้อยู่ในหมวดของรถขับสนุกคันหนึ่งได้อย่างเต็มปากเต็มคำ แต่จะมีเพียงเรื่องของ อัตราเร่งที่บางครั้งจะมาช้าบ้าง มีจังหวะรอบ้าง สุดท้ายเรายังคงได้ความเร็วที่เราต้องการ

ทั้งนี้ เมื่อถามทีมงานของเกรท วอลล์ มอเตอร์ ระบุว่า เป็นผลมาจากระบบสั่งการ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรี่และสภาวะของระบบขณะเวลานั้น คือ หากกดคันเร่งหนักๆ ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้มีความร้อนสะสมในระบบหรือใช้งานไฟฟ้าในแบตจนหมดพอดี จังหวะเร่งแซงบางคราวอาจจะไม่พุ่งเท่ากับเวลารถขับปกติทั่วไป
ระบบรองรับแรงสั่นสะเทือน ทำได้ดีดังที่คาดหวังเอาไว้ ช่วงล่างค่อนข้างมาทางแข็งแต่ไม่กระด้าง การทรงตัวที่ความเร็วสูงทำได้ดี โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนเลนเร่งแซงกระทันหัน รวมถึงจังหวะเข้าโค้งที่โยนตัวน้อยกว่า H6 ภาพรวมช่วงล่างถือว่าถูกจริตผู้เขียนมาก เพราะชอบช่วงล่างแบบเฟิร์มๆ

ปัจจัยที่ทำให้การทรงตัวดี มาจากหลายส่วนเช่น ความยาวของตัวรถที่สั้นกว่า H6 ความสูงเตี้ยกว่า การออกแบบสปอยเลอร์หลังและกันชนท้ายตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่ดี รวมถึงการกระจายน้ำหนักจากการวางแบตไว้ระหว่างซุ้มล้อหลังล้นมีส่วนช่วยให้รถสมดุลทั้งสิ้น
ความเร็วสูงสุดที่เราลองขับได้คือ 159 กม./ชม. จากการลองหลายครั้งส่วนมากจะอยู่ราว 157 กม./ชม. โดยเสียงเครื่องยนต์จะดังแบบชัดเจนทันทีหากมีการกดคันเร่งเพิ่ม แต่ความเร็วรถไม่เพิ่ม ทีมงานระบุว่า มีการล็อกความเร็วสูงสุดไว้ที่ 150 กม./ชม. เพื่อความปลอดภัยของทั้งผู้ขับขี่และระบบการขับเคลื่อน (ปลดล็อกได้แต่จะสูญเสียการรับประกันไป)

น้ำหนักพวงมาลัย ปรับได้ 3 ระดับ ทั้ง เบา , สบาย, สปอร์ต โดยเราแนะนำให้ใช้ สบาย เหมาะกับการใช้งานปกติทั่วไป ส่วนการใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ไม่ง่าย ไม่ยากต้องใช้ความคุ้นเคยสักหน่อย แม้จะมีการปรับเอาปุ่มออกมาให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นแล้ว แต่การปรับเพื่อดูข้อมูลบนหน้าจอ ยังถือว่ายาก เพราะต้องใช้การกดปุ่ม OK ค้างราว 3 วินาที จากนั้นจึงใช้ปุ่ม Back ในการปรับเลื่อนเมนู

ส่วนสิ่งที่สื่อหลายท่านให้ความเห็นตรงกัน คือเรื่องของเสียงดังจากพื้นถนน ผู้ขับขี่และผู้โดยสารจะได้ยินค่อนข้างชัดเจน สวนทางกับเสียงของเครื่องยนต์ที่ค่อนข้างเงียบและป้องกันเสียงได้เป็นอย่างดี
สำหรับความเร็วที่เราใช้ส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง 100-120 กม./ชม. แบบกดคันเร่งเต็มเท้าบ่อยๆ ฉะนั้นตัวเลขอัตราการบริโภคน้ำมัน หลังจากขับเป็นระยะทางรวมกว่า 400 กม. จึงออกมาที่เฉลี่ยราว 12.5 กม./ลิตร ส่วนตัวเลขอ้างอิงตามมาตรฐานอีโคสติกเกอร์ระบุ 23.8 กม./ลิตร


เหมาะกับใคร
บุคลิกการขับขี่ของ Haval Jolion จะตรงกับสไตล์ของรถครอบครัวและกลุ่มวัยรุ่น ด้วยอัตราเร่งที่พอดี ขับสนุกได้ ช่วงล่างอยู่ในโซนหนึบแข็ง โดยจุดเด่นคงเป็นเรื่องของคุณภาพวัสดุภายในที่ยอดเยี่ยม คงเหลือเพียงเรื่องของความทนทานและการบริการหลังการขายที่เราไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นอย่างไร ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่สำหรับคนที่ชอบความคุ้มค่า รอราคาเปิดมาแล้วเป็นไปตามที่เราคาด รับรองว่าตลาดแตกแน่นอน
















สำหรับข้อมูลเบื้องต้นมีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการในช่วงของการทดลองขับคราวนี้ Haval Jolion มากับทางเลือก 3 รุ่นย่อย Ultra , Pro และ Tech พร้อมการเปิดรับจองสิทธิ์ภายใต้เงื่อนไข อัลต้า ดีล ที่มอบส่วนลดเป็นมูลค่าสูงสุดประมาณ 175,000 บาท มีทั้งดอกเบี้ย 0% และประกันภัยชั้นหนึ่ง เป็นต้น
ทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง ไม่พลาดการเข้าร่วมขับขี่ บนเส้นทางกรุงเทพฯ-เขาใหญ่-กรุงเทพฯ แบบวันเดียวจบรวมระยะทางกว่า 400 กม. ความรู้สึกแรกของการขับขี่ Haval Jolion จะเป็นอย่างไรเชิญติดตาม
ไฮบริด190 แรงม้า
เริ่มกันด้วยเรื่องราวพื้นฐานของ Haval Jolion กันสักหน่อย โครงสร้างตัวถังพัฒนาบนพื้นฐานของแพลตฟอร์ม LEMON ที่มีความยืดหยุ่นรองรับเทคโนโลยีการขับเคลื่อนได้หลายรูปแบบทั้งเครื่องยนต์, ไฮบริด, ปลั๊กอินไฮบริด และ รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่
ขนาดของตัวรถสั้นกว่ารุ่นพี่อย่าง H6 และเตี้ยกว่าด้วย ส่วนความกว้างใกล้เคียงกัน หากให้เปรียบเทียบกับคู่แข่งขนาดที่น่าจะตรงกันมากที่สุดคือ โตโยต้า โคโรลล่า ครอส ส่วนอีกหนึ่งคู่แข่งที่เปิดตัวในเวลาไล่เรี่ยกันอย่าง ฮอนด้า เอชอาร์-วี จะมีขนาดที่เล็กกว่าอย่างมีนัย โดยระยะฐานล้อ Haval Jolion ยาวกว่าถึง 90 มม.
ส่วนหัวใจ เป็นการผสานการทำงานระหว่าง เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร DOHC กำลังสูงสุด 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 125 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 156 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร โดยเมื่อทำงานร่วมกันจะได้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 375 นิวตันเมตร
ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ DHT ที่มี 2 สปีดคือ ชุดความเร็วต่ำและความเร็วสูง แบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียม ไอออน ติดตั้งทางด้านท้ายรถระหว่างซุ้มล้อหลัง ระบบช่วงล่างหน้า แบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชัน บีม พร้อมเหล็กกันโคลง ดิสก์เบรก 4 ล้อ โดยรุ่น Ultra จะมากับล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ส่วนรุ่นอื่นเป็นขนาด 17 นิ้ว
การออกแบบภายใน หรูหราตามสไตล์ของเกรท วอลล์ มอเตอร์ ทุกรุ่นที่ทำตลาดในประเทศไทย วัสดุภายในห้องโดยสารทำจากหนังสังเคราะห์ รวมถึงเบาะนั่ง ที่สัมผัสแล้วรู้สึกไม่แตกต่างจากหนังแท้เท่าใดนัก โดย ในรุ่น Ultra และ Pro ปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทางเฉพาะผู้ขับขี่ รวมถึงมีการเพิ่มปุ่มสั่งงาน เพื่อการใช้งานที่สะดวกขึ้น
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาอย่างครบครัน เช่น ระบบสั่งการด้วยเสียง , ระบบอัพเกรดผ่านออนไลน์ (FOTA) ช่องปรับอากาศทางด้านหลัง (ยกเว้นรุ่น tech) ระบบปรับอากาศแยกซ้าย-ขวา เฉพาะรุ่น Ultra เพิ่มตัวกรองอากาศ PM2.5 หน้าจอระบบสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว ในรุ่น Ultra และรุ่นอื่นเป็นขนาด 10.25 นิ้ว
ระบบเสริมความปลอดภัย มีมากกว่า 30 รายการ คัดเฉพาะที่โดดเด่น เช่น ระบบเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่และกล้องมองรอบคัน 360 องศา (เฉพาะรุ่น Ultra) , ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ, ระบบเบรกฉุกเฉินบนทางตรงและทางแยก, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและอยู่กลางเลน, ระบบเตือนการเปิดประตู และถุงลมนิรภัย 6 จุด ติดตั้งเป็นมาตรฐานในทุกรุ่นย่อย
เร่งดีสมตัว ช่วงล่างหนึบ
ก่อนที่จะออกเดินทางขับกันยาวๆ ทางทีมงานของเกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้จัดให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับแบบสั้นๆ ในสนามจำลองเพื่อดูการใช้งานระบบต่างๆ ที่เด่น เริ่มด้วย การทดลองอัตราเร่งช่วงออกตัว พบว่ามีระบบ Launch Control ติดตั้งมาให้ด้วย และลักษณะการทำงานเหมือนกับของปอร์เช่ กล่าวคือ ใช้การเหยียบเบรกและเหยียบคันเร่งจนมิดเท้า แต่มีเงื่อนไขคือ ต้องปลดระบบช่วยควบคุมการทรงตัวออกเสียก่อนจึงจะใช้งานได้
การออกตัวทำได้อย่างกระฉับกระเฉงอัตราเร่งให้ความรู้สึกดี ทันใจไม่มีการรอรอบ จากนั้น เป็นการทดลองเบรกหนัก Haval Jolion ทำได้ประทับใจเช่นเดียวกัน ส่วนอีกจุดที่ให้ลองคือการใช้งานระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแปรผันตามคันหน้า ใช้งานได้จริง แต่หากคันหน้าเลี้ยวโค้งลึก ระบบจะตัดการทำงาน
สุดท้ายจบด้วยการลองใช้งาน single padal คือใช้เพียงคันเร่งเท่านั้น โดยหลักการทำงานแบบเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าหลายๆ รุ่น ซึ่งอาศัยการหน่วงของมอเตอร์ไฟฟ้า จากการถอนคันเร่ง เพื่อให้รถสามารถหยุดสนิทได้โดยที่ไม่ต้องเหยียบเบรกแต่อย่างใด
เมื่อลองครบถ้วนเข้าสู่ช่วงของการทดลองขับแบบทางยาวมุ่งหน้าเขาใหญ่ทั้งไปและกลับในวันเดียว อัตราเร่งบนถนนจริง ถือว่าทำได้ดี สมกับขนาดของตัวรถ ไม่ได้พุ่งพล่านหรือแรงแบบหลังติดเบาะ ขอใช้คำว่า ทันใจ จัดให้อยู่ในหมวดของรถขับสนุกคันหนึ่งได้อย่างเต็มปากเต็มคำ แต่จะมีเพียงเรื่องของ อัตราเร่งที่บางครั้งจะมาช้าบ้าง มีจังหวะรอบ้าง สุดท้ายเรายังคงได้ความเร็วที่เราต้องการ
ทั้งนี้ เมื่อถามทีมงานของเกรท วอลล์ มอเตอร์ ระบุว่า เป็นผลมาจากระบบสั่งการ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรี่และสภาวะของระบบขณะเวลานั้น คือ หากกดคันเร่งหนักๆ ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้มีความร้อนสะสมในระบบหรือใช้งานไฟฟ้าในแบตจนหมดพอดี จังหวะเร่งแซงบางคราวอาจจะไม่พุ่งเท่ากับเวลารถขับปกติทั่วไป
ระบบรองรับแรงสั่นสะเทือน ทำได้ดีดังที่คาดหวังเอาไว้ ช่วงล่างค่อนข้างมาทางแข็งแต่ไม่กระด้าง การทรงตัวที่ความเร็วสูงทำได้ดี โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนเลนเร่งแซงกระทันหัน รวมถึงจังหวะเข้าโค้งที่โยนตัวน้อยกว่า H6 ภาพรวมช่วงล่างถือว่าถูกจริตผู้เขียนมาก เพราะชอบช่วงล่างแบบเฟิร์มๆ
ปัจจัยที่ทำให้การทรงตัวดี มาจากหลายส่วนเช่น ความยาวของตัวรถที่สั้นกว่า H6 ความสูงเตี้ยกว่า การออกแบบสปอยเลอร์หลังและกันชนท้ายตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่ดี รวมถึงการกระจายน้ำหนักจากการวางแบตไว้ระหว่างซุ้มล้อหลังล้นมีส่วนช่วยให้รถสมดุลทั้งสิ้น
ความเร็วสูงสุดที่เราลองขับได้คือ 159 กม./ชม. จากการลองหลายครั้งส่วนมากจะอยู่ราว 157 กม./ชม. โดยเสียงเครื่องยนต์จะดังแบบชัดเจนทันทีหากมีการกดคันเร่งเพิ่ม แต่ความเร็วรถไม่เพิ่ม ทีมงานระบุว่า มีการล็อกความเร็วสูงสุดไว้ที่ 150 กม./ชม. เพื่อความปลอดภัยของทั้งผู้ขับขี่และระบบการขับเคลื่อน (ปลดล็อกได้แต่จะสูญเสียการรับประกันไป)
น้ำหนักพวงมาลัย ปรับได้ 3 ระดับ ทั้ง เบา , สบาย, สปอร์ต โดยเราแนะนำให้ใช้ สบาย เหมาะกับการใช้งานปกติทั่วไป ส่วนการใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ไม่ง่าย ไม่ยากต้องใช้ความคุ้นเคยสักหน่อย แม้จะมีการปรับเอาปุ่มออกมาให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นแล้ว แต่การปรับเพื่อดูข้อมูลบนหน้าจอ ยังถือว่ายาก เพราะต้องใช้การกดปุ่ม OK ค้างราว 3 วินาที จากนั้นจึงใช้ปุ่ม Back ในการปรับเลื่อนเมนู
ส่วนสิ่งที่สื่อหลายท่านให้ความเห็นตรงกัน คือเรื่องของเสียงดังจากพื้นถนน ผู้ขับขี่และผู้โดยสารจะได้ยินค่อนข้างชัดเจน สวนทางกับเสียงของเครื่องยนต์ที่ค่อนข้างเงียบและป้องกันเสียงได้เป็นอย่างดี
สำหรับความเร็วที่เราใช้ส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง 100-120 กม./ชม. แบบกดคันเร่งเต็มเท้าบ่อยๆ ฉะนั้นตัวเลขอัตราการบริโภคน้ำมัน หลังจากขับเป็นระยะทางรวมกว่า 400 กม. จึงออกมาที่เฉลี่ยราว 12.5 กม./ลิตร ส่วนตัวเลขอ้างอิงตามมาตรฐานอีโคสติกเกอร์ระบุ 23.8 กม./ลิตร
เหมาะกับใคร
บุคลิกการขับขี่ของ Haval Jolion จะตรงกับสไตล์ของรถครอบครัวและกลุ่มวัยรุ่น ด้วยอัตราเร่งที่พอดี ขับสนุกได้ ช่วงล่างอยู่ในโซนหนึบแข็ง โดยจุดเด่นคงเป็นเรื่องของคุณภาพวัสดุภายในที่ยอดเยี่ยม คงเหลือเพียงเรื่องของความทนทานและการบริการหลังการขายที่เราไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นอย่างไร ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่สำหรับคนที่ชอบความคุ้มค่า รอราคาเปิดมาแล้วเป็นไปตามที่เราคาด รับรองว่าตลาดแตกแน่นอน