ผลผลิตจากซับแบรนด์อย่าง i ของ BMW ยังมีออกมาอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดพวกเขาจับเอารถยนต์ต้นแบบ iNEXT มาปรับปรุงและพัฒนาเพื่อจำหน่ายในตลาดภายใต้ชื่อ iX เพื่อรุกตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ขับเคลื่อน 4 ล้อหรือ SUV โดยวางคิวเริ่มขายในปลายปีหน้า
iX ถือกำเนิดจากวิสัยทัศน์ ออกแบบเพื่อขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ด้วยเทคโนโลยี BMW eDrive ที่เปี่ยมประสิทธิภาพและระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 4 ล้อ จึงขับขี่ได้ระยะทางไกลและมีอัตราเร่งออกตัวจากหยุดนิ่งที่เหนือชั้น รูปลักษณ์ที่ล้ำสมัยสะกดได้ทุกสายตาด้วยสไตล์การออกแบบที่เน้นความขึงขัง ห้องโดยสารสุดหรูหราด้วยวัสดุพรีเมียมคุณภาพสูงที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีล้ำยุค และที่นั่งกว้างขวางสำหรับห้าคน จะทำให้เดินทางได้อย่างสะดวกสบายเหนือระดับ
ในเรื่องของการออกแบบนั้นต้องบอกว่ามีการปรับแต่งและเปลี่ยนจากผลงานดั้งเดิมอย่าง iNEXT ที่เปิดตัวในปี 2018 อย่างชัดเจน และเรียกว่าแทบจะไม่เหมือนกันเลยเสียทีเดียวนอกจากรูปทรงของกระจังหน้าแบบไตคู่ หรือ Double Kidney ที่มีลักษณะทรงสูงยาวจนถึงชายล่างของกันชน
สิ่งที่น่าสนใจคือ ขณะที่การออกแบบยุคใหม่ๆ เน้นเส้นสายบนตัวถังและลวดลายของสิ่งที่อยู่บนตัวรถที่มากมาย แต่สำหรับ iX นั้นกลับเลือกนำเสนอความเรียบง่ายตามแบบฉบับ Minimalist ด้วยตัวถังที่เรียบ และไม่มีเส้นบนตัวถังที่เยอะจนเกินไป พร้อมความเพรียวลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน หรือ Cd เพียง 0.25 ซึ่งถือว่าค่อนข้างดีเมื่อเปรียบเทียบจากการเป็นรถยนต์แบบ SUV ทรงสูง
สำหรับมิติตัวถังนั้น แม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่ iX จะทำตลาดโดยเหนือกว่ารุ่น iX3 ที่เปิดตัวออกมาก่อนหน้านี้ โดยเชื่อว่าในเรื่องของระดับตลาดนั้นน่าจะเทียบเคียงกับ X5/X6 บนตัวถังแบบ 4 ประตูและเบาะนั่ง 2 แถวสำหรับรองรับกับผู้ขับและผู้โดยสารรวม 5 ที่นั่ง ขณะที่บรรยากาศภายในห้องโดยสาร ตอบสนองทั้งความหรูหรา ความสปอร์ต และล้ำสมัยนิดๆ แต่คงความสะดวกสบายเหมือนกับนั่งอยู่ในเลาจน์ ด้วยการเลือกใช้วัสดุที่ตอบสนองในด้านความพึงพอใจสำหรับการสัมผัสมากกว่าการทำอะไรออกมาให้ดูล้ำสมัย
เทคโนโลยีขับเคลื่อนของ BMW แบบ eDrive นั้นเข้ามาช่วยเติมเต็มและทำให้ตัวรถสามารถตอบสนองการขับเคลื่อนได้อย่างเต็มสมรรถนะ โดยเฉพาะมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนสำหรับเพลาหน้าและเพลาหลัง โดยมีกำลังรวมกันอยู่ที่ 503 แรงม้า และนั่นทำให้ตัวรถสามารถแล่นทะยานจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ใน 5 วินาที ส่วนเรื่องระยะทางในการขับต่อการชาร์จ 1 ครั้งนั้น กระแสไฟฟ้าที่ถูกส่งออกมาจากแบตเตอรี่ขนาด 100kWh จะสามารถทำให้ตัวรถแล่นทำระยะทางได้ 600 กิโลเมตรจากการทดสอบของ WLTP
ส่วนการชาร์จในกรณีที่ใช้ไฟแบบ DC Fast Charging ตัวรถสามารถรองรับได้สูงสุด 200kW และใช้เวลา 40 นาทีสำหรับการชาร์จจาก 10-80% ของความจุแบตเตอรี่ โดยการชาร์จทุก 10 นาทีจะให้ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่มากพอที่จะแล่นทำระยะทางได้ 120 กิโลเมตร และถ้าชาร์จผ่าน Wallbox ขนาด 11kW จะใช้เวลา 11 ชั่วโมงในการชาร์จจาก 0-100%
ราคายังไม่เปิดเผยออกมาในตอนนี้ ใครที่ชอบก็ต้องรอกันไปก่อน เพราะตอนนี้ยังแค่เปิดตัวให้เห็นหน้าตา แต่การส่งมอบรถยนต์จะมีขึ้นในปลายปี 2021