ดูจากตัวเลขยอดจองในงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ 2020 ครั้งที่ผ่านมา ก็พอจะทราบได้ลางๆ แล้วว่าผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 นั้นต่อตลาดรถยนต์เมืองไทยนั้นรุนแรงขนาดไหน แน่นอนว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องของผลที่ทำให้คนไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก หรือการที่เมืองถูกล็อกดาวน์เท่านั้น แต่เรื่องนี้ได้ลุกลามต่อเนื่องไปยังสภาพเศรษฐกิจเพราะคนต้องตกงาน ธุรกิจหยุดชะงัก และผลที่ตามมาคือ กำลังซื้อหดหาย
ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนในโลกก็ตาม เราพอจะมองภาพออกได้อยู่แล้วว่าวงจรในการทำลายล้างของ COVID-19 ที่มีต่อเศรษฐกิจนั้นแทบไม่ต่างกัน แต่ภาพรวมของตลาดรถยนต์ทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบกันแบบเต็มๆ และอย่างถ้วนหน้า ชนิดที่ว่ามีการประเมินจากตัวเลขยอดขายของครึ่งแรกปี 2020 แล้วเชื่อว่าตลาดรถยนต์ปีนี้ ในแต่ละประเทศน่าจะหดตัวระดับเลข 2 หลักกันเลยทีเดียว
อเมริกายังอ่วม คาดจบปีนี้ -26.6%
สำหรับตลาดรถยนต์เบอร์ 2 ของโลกอย่างสหรัฐอเมริกาถือว่า 2020 เป็นปีที่หินเอาเรื่องสำหรับพวกเขา เพราะที่นี่ยังเป็นศูนย์กลางของการแพร่ระบาดและสถานการณ์ของ COVID-19 ในประเทศยังไม่ดีขึ้น กับตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในทุกวัน
ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ เกือบทุกแบรนด์มียอดขายในตลาดอเมริกาเหนือลดลงกันถ้วนหน้าเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อย่าง Toyota ซึ่งมียอดขายสูงสุดในไตรมาสนี้ด้วยตัวเลข 411,035 คัน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2019 ตัวเลขกลับลดลงถึง 33% เลยทีเดียว
ดังนั้นจึงมีการคาดกันว่าตัวเลขยอดขายเมื่อถึงสิ้นปีนี้ของตลาดรถยนต์อเมริกันน่าจะต่ำกว่า 13 ล้านคัน และมียอดขายลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 26.6% ซึ่งถือเป็นการหดตัวในอัตราส่วนสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบในกลุ่มของ 3 ตลาดใหญ่ของโลก
ตลาดยุโรปกระทบหนักแม้สถานการณ์จะเบาบางลง
เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดสหรัฐอเมริกาแล้ว แม้ว่าภาพรวมของการแพร่ระบาดของ COVID-19 จะไม่หนักหนาเท่า แต่ร่องรอยที่โรคร้ายนี้ได้ทิ้งไว้นั้นยังส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อเศรษฐกิจของที่นี่ และสมาพันธ์ผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรป หรือ European Automobile Manufacturers’ Association (ACEA)ได้ประเมินว่าตัวเลขยอดขายรถยนต์ในปี 2020 น่าจะลดลงราวๆ 25% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2019
นั่นหมายความว่ายอดขายในปี 2020 น่าจะอยู่ราวๆ 9.6 ล้านคันโดยหล่นจากตัวเลขเดิมคือ 12.8 ล้านคันในปี 2019และถือเป็นตัวเลขยอดขายรถยนต์ต่อปีที่ต่ำที่สุดนับจากปี 2013 เป็นต้นมาซึ่งในตอนนั้นตลาดยุโรปมียอดขายรถยนต์ลดลง 6 ปีติดต่อกันอันเป็นผลมาจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2008-2009
สำหรับตัวเลขนี้เป็นการวิเคราะห์จากผลกระทบที่ COVID-19 ได้ทำเอาไว้ในตลาดยุโรปช่วงเดือนมีนาคมจนถึงมิถุนายน ซึ่งช่วงระลอกแรกของการระบาดที่นี่นั้น มีการล็อกดาวน์ในหลายเมืองและ ตัวเลขช่วงครึ่งแรกของยอดขายรถยนต์ในยุโรปตะวันตกนั้นลดลงถึง 41.5% เลยทีเดียว
จีน : ลดลงน้อยสุดหลังควบคุมสถานการณ์ได้เร็ว
มีการวิเคราะห์ว่า เพราะจีนมีการควบคุมสถานการณ์ได้เร็ว แม้ว่าจะเป็นประเทศแรกที่มีรายงานการแพร่ระบาด แต่ด้วยการจัดการที่ดี และมีการล็อกดาวน์เมืองเพียงไม่กี่เดือน ทำให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตลาดรถยนต์มีไม่สูงมากนัก แต่ก็มากพอที่จะทำให้ภาพรวมของยอดขายต่อปีลดลงได้ถึง 15%
จากการประเมินครั้งนี้นั่นหมายความว่ายอดขายรถยนต์ต่อปีของจีนในปี 2020 จะมีตัวเลขลดลงมาอยู่ทีต่ำกว่า 21 ล้านคันจากเดิมอยู่ที่ 25 ล้านคันหรือยอดขายอาจจะมากกว่านั้นถ้าในแง่ภาพรวมของเศรษฐกิจสามารถพลิกฟื้นกลับมาได้รวดเร็ว
เพราะนับจากเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์ในจีนมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากการหล่นวูบจาก 1.607 ล้านคันในเดือนมกราคมมาเหลือเพียง 224,000 คันในเดือนกุมพาภันธ์ หลังจากนั้นตัวเลขยอดขายดีดกลับมาอยู่ในระดับ 1 ล้านคันมาโดยตลอด โดยที่ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาถือว่าเป็นเดือนที่มียอดขายรถยนต์นั่งสูงสุดถึง 1,763,700 คัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์สูงสุดเช่นเดียวกันคือ 536,000 คัน
ตลาด ICE หดตัว แต่รถไฟฟ้าโตสวนกระแส
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางของปัญหาที่เกิดขึ้นในด้านตัวเลขแล้ว ในทางกลับกันกับตลาดบางประเภทนั้น การระบาดของ COVID-19 กลับส่งผลในด้านดี เช่น ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเพียงเดือนเดียว สามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 15% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 147,500 คัน พร้อมกับสร้างส่วนแบ่งตลาดในระดับ 17.4% ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของรถยนต์ประเภทนี้
ตรงนี้ไม่เพียงทำให้ยอดขายของแบรนด์อย่าง Tesla มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อแบรนด์ต่างๆ ที่มีรถยนต์ไฟฟ้าให้มีตัวเลขการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างมากอีกด้วย เช่น Mercedes (+44%), Volkswagen (+240%), BMW (+15%), Hyundai (+25%) และ Volvo (+79%)
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตได้มีอยู่ 2 ส่วนคือ กลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าที่ควรจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในแง่ของเศรษฐกิจ ซึ่งหมายถึงไม่ได้ตกงานและยังมีรายได้อย่างต่อเนื่องอีกประเด็นคือ บริบทที่เปลี่ยนไปในเชิงกฎข้อบังคับในด้านมลพิษที่มีความเข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ และความตระหนักในด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น
ภาพรวมตลาดโลกในปีนี้ ลดลงอย่างแน่นอน
ทั้ง 3 ตลาดหลักถือเป็นภูมิภาคีที่มียอดขายสูงสุดและได้รับผลกระทบในด้านยอดขายเต็มๆ ดังนั้น นักวิเคราะห์ทั้งหมดเชื่อว่าภาพรวมของตลาดโลกในปีนี้จะต้องลดลงตามอย่างแน่นอน เพียงแต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้สถานการณ์จะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ที่ยังไม่มีวี่แววของการฟื้นตัวอย่างชัดเจนเสียที
สำหรับตัวเลขที่ International Organization of Motor Vehicle Manufacturers คาดว่าจะเป็นยอดขายรถยนต์ทั่วโลกในปีนี้ที่มีการประเมินกันคือ 69.6 ล้านคันหรือลดลงประมาณ 22% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2019 ที่มียอดขายรวมทั่วโลกอยู่ที่ 87.4 ล้านคัน
ความกังวลที่มากกว่าตัวเลขยอดขาย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าวิตกมากกว่าการหล่นของตัวเลขคือ ผลกระทบเป็นลูกโซ่อันมาจากเรื่องของตลาดรถยนต์หดตัวอย่างรุนแรง เช่น ในยุโรปเอง หลังจากที่ นิสสัน ประกาศปิดโรงงานในสเปนและอินโดนีเซียเพื่อลดขนาดขององค์กรลง สิ่งที่ตามมาคือ การประท้วง และคนตกงานเพิ่มขึ้น ก็มีแนวโน้มว่าในอีกหลายไลน์ผลิตของแต่ละแบรนด์อาจจะต้องมีการปรับตัวในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
สำหรับในยุโรป มีการเปิดเผยว่ามีแรงงานมากกว่า 13.8 ล้านคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตยานยนต์ทั้งทางตรงและทางอ้อม หรือคิดแล้วประมาณ 6.1% ของแรงงานทั้งหมดในสหภาพยุโรป ซึ่งถ้าความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นความเสี่ยงในการตกงานมีอย่างแน่นอนเช่นเดียวกับความเสี่ยงในการชะลอหรือหยุกชะงักในด้านการทำงานภาคที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งจากการเปิดเผยของ ACEA ระบุว่า ในแต่ละปี บริษัทรถยนต์จะมีการลงทุนในงานด้านการวิจัยและพัฒนาหรือ R&D ในส่วนของภาคยานยนต์มากถึง 57,400 ล้านยูโร ซึ่งถือเป็นตัวเลขการลงทุนของภาคเอกชนที่สูงสุดใน EU ด้วยสัดส่วนถึง 28% ของการลงทุนทุกประเภท
ส่วนในเรื่องของการเสียภาษีนั้น แต่ละปีภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ส่งภาษีให้กับประเทศในกลุ่ม EU รวมกันแล้วถึง 440,400 ล้านยูโรเลยทีเดียว ด้วยตัวเลขขนาดนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายฝ่ายย่อมเป็นห่วงกับผลกระทบที่อาจจะส่งแรงกระเพื่อมออกมาจนทำให้เกิดความเสียหายเป็นลูกโซ่