บีเอ็มดับเบิลยู พร้อมลุย EV เตรียมเสริมทัพรถใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนใหม่ยกชุด ไล่เรียงเริ่มต้นตั้งแต่ เอ็กซ์ 3, ซีรี่ส์7, ซีรี่ส์ 5 และเอ็กซ์ 1 โดยมี 4 ทางเลือกทั้งดีเซล,เบนซิน, PHEV และ BEV ตั้งเป้าสัดส่วน 2 ใน 3 ของการขายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2030
วีแลนด์ บร็อค ฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กรด้านยานยนต์ไฟฟ้า บีเอ็มดับเบิลยู กล่าวว่า แผนการดำเนินของบีเอ็มดับเบิลยูจะมุ่งเน้นไปในแนวทางของการมีผลิตภัณฑ์ที่ใช้การขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นหลักเพื่อลดการปล่อยมลพิษให้มากขึ้นโดยมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการขายรถยนต์ไฟฟ้าเป็น 2 ใน 3 ของรถที่ขายทั้งโลก ภายในปี ค.ศ.2030
ซึ่งการจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจะต้องมีรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าสู่ตลาดมากขึ้น โดยบีเอ็มดับเบิลยูได้วางแผนการเปิดตัวทำตลาดรถยนต์แต่ละรุ่นด้วย 4 ทางเลือกได้แก่ ดีเซล, เบนซิน, ปลั๊กอินไฮบริด และBEV ทั้งนี้จะเริ่มต้นที่รุ่น เอ็กซ์3 หลังจากนั้นจะเป็นซีรี่ส์ 7, ซีรี่ส์5 และ เอ็กซ์1 ตามลำดับ
“เราไม่นับว่ารถที่ใช้เทคโนโลยี 48 โวลท์ว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงเราจะไม่พัฒนารถแบบไฮบริดด้วย เนื่องจาก ไม่สามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วนได้ หรือชาร์จไฟฟ้าเพื่อขับได้ รวมถึงการที่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นหลักในการขับเคลื่อนซึ่งจะแตกต่างจากรถปลั๊กอินไฮบริดที่ผู้ใช้งานสามารถใช้ไฟฟ้าล้วนในการขับขี่ได้ ที่ช่วยให้ลดมลพิษได้อย่างแท้จริง”
สำหรับการพัฒนาแบตเตอรี่นั้นจะมุ่งเน้นการนำกลับมาใช้ใหม่และลดการใช้แร่ที่หายากเช่น โคบอลท์ โดยจะหาวัตถุดิบชนิดใหม่มาทดแทน ขณะที่แบตเตอรี่แบบโซลิด เสตทนั้นยังมองว่าไม่สามารถผลิตจำนวนมากได้ในเร็วๆ นี้คาดว่าจะเริ่มศึกษาอย่างจริงจังหลังปี ค.ศ.2025 เป็นต้นไป
ด้านความร่วมมือกับเดมเลอร์ มีการหยุดในเรื่องของเทคโนโลยีรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติโดยต่างฝ่ายต่างพัฒนาเฉพาะของตัวเอง ขณะที่ความร่วมมือด้านอื่นๆ ยังคงมีอยู่ทั้ง Car Sharing หรือการพัฒนาสถานีชาร์จและระบบการชาร์จ ส่วนการพัฒนาชุดชาร์จไฟฟ้าแบบไร้สายของบีเอ็มดับเบิลยู ขณะนี้ยุติการดำเนินการแล้วเนื่องจากพบปัญหาในเรื่องของความไม่สะดวกในการใช้งาน
ปัจจุบัน บีเอ็มดับเบิลยู มีรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดจำหน่ายใน 74 ประเทศทั่วโลก และประเทศไทยมีจำหน่ายมากถึง 9 รุ่นในเวลานี้ เช่น 330 e, i3 ,X5 xDrive45e และ Mini e เป็นต้น