ช่วงนี้ดูเหมือนว่าบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ต่างชะลอการเปิดตัวรถยนต์ใหม่กันเป็นแถว ทำให้โอกาสที่จะได้เห็นรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่อาจจะถูกวางคิวเอาไว้ว่าจะต้องเปิดตัวในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2020 ที่ถูกยกเลิกไปนั้นน้อยลง เพราะสุดท้ายแล้วเมื่อเปิดออกมาโอกาสที่จะสร้างยอดขายคงลำบากช่วงที่ โควิด-19 ยังระบาด และสภาพเศรษฐกิจโดยรวมนั้นตกต่ำลง แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์ สวนกระแส ด้วยการเปิดตัวเจนเนอเรชันที่ 2 ของ GLA-Class ออกมาแล้ว
ค่ายดาว 3 แฉกบอกว่า GLA-Class จะเป็นรถยนต์รุ่นที่ 8 ในกลุ่มคอมแพ็กต์ของพวกเขาที่มีอยู่ในตลาด และรุ่นใหม่นี้จะเข้ามาแทนที่รุ่นเดิมที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2014 โดย GLA คือ การต่อยอดพัฒนาบนพื้นตัวถังขนาดคอมแพ็กต์แบบขับเคลื่อนล้อหน้าที่แชร์ร่วมกับ A-Class และ B-Class โดยจริงๆ แล้วทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัวรถยนต์รุ่นนี้มาตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2019 ในช่วง Media Event แต่เพิ่งจะเริ่มทำตลาดในยุโรปช่วงกลางปีนี้
สิ่งที่เปลี่ยนไปคือรหัสตัวถังที่ใช้ใหม่แทนที่คำนำหน้าด้วย X เหมือนอย่างรุ่นที่แล้ว โดยในรุ่นนี้จะใช้รหัส H247 ซึ่งแชร์พื้นตัวถังรุ่น MFA 2 ร่วมกับ W247 ซึ่งเป็น B-Class และ X247 ซึ่งเป็น GLB ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน โดยในแง่ของมิติตัวถังเมื่อเปรียบเทียบกับ GLA รุ่นแรกแล้ว จะพบว่าตัวรถสั้นลง 15 มิลลิเมตรเป็น 4,410 มิลลิเมตร แคบลง 0.1 มิลลิเมตร เป็น 1,834 มิลลิเมตร และสูงขึ้น 104 มิลลิเมตรเป็น 1,611 มิลลิเมตร แต่ระยะฐานล้อถูกขยายเพิ่มขึ้นอีก 30 มิลลิเมตรเป็น 2,729 มิลลิเมตร
เรื่องของหน้าตานั้นมีการปรับเปลี่ยน Design language ไปตามรุ่นพี่ๆ อย่าง C-Class และ E-Class ด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ที่ยาวลงมาจนถึงกันชนหน้า และมีสัญลักษณ์ของดาวสามแฉกวางอยู่ตรงหลางกระจังหน้า ขณะที่ตัวรถเป็นแบบ SUV 5 ประตูที่แชร์พื้นตัวถังแบบเครื่องยนต์วางตามขวางเหมือนกับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า และจะมีทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า และแบบ 4 ล้อที่มีคำว่า 4MATIC ต่อท้าย
ทางเลือกในตลาดที่เปิดตัวออกมานั้นต้องบอกว่าเพียบและครบถ้วน ทั้งเบนซินที่มีทั้งหมด 6 รุ่นรวมถึงตัวแรง AMG ตามด้วยเทอร์โบดีเซลอีก 4 รุ่นและพ่วงอีก 1 รุ่นเป็นไฮบริดแบบ PHEV โดยที่ว่ากันว่าจะมีรุ่นไฟฟ้าที่ใช้ชื่อว่า EQA ตามออกมาขายในปี 2021
รุ่นเบนซินจะมี GLA200 ที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ 1,300 ซีซีเทอร์โบ 163 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 25.3 กก.-ม. ตามด้วย GLA250 และ GLA2504MATIC ที่ใช้เครื่องยนต์ร่วมกันแบบ 4 สูบ 2,000 ซีซี เทอร์โบ 224 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 35.2 กก.-ม. ส่วน AMG จะเป็นรหัส GLA35 4MATIC ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี เทอร์โบรหัส M260 มีกำลังสูงสุด 285 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 48.4 กก.-ม. ตามด้วยรุ่น GLA45 4MATIC และ GLA45S 4MATIC แม้จะมีจำนวนสูบและความจุเท่ากับ GLA35 แต่เป็นคนละบล็อก โดยรุ่นนี้เป็นรหัส M139 มี 2 กำลังขับเคลื่อน คือ 387 และ 421 แรงม้า
ส่วนรุ่นเทอร์โบดีเซลทั้ง 4 รุ่นใช้พื้นฐานของเครื่องยนต์เดียวกันคือ OM654q แบบ 4 สูบ 2,000 ซีซี แต่รีดกำลังออกมาแตกต่างกันไป คือ GLA180 มี 116 แรงม้า ตามด้วย GLA 200d และ 4MATIC 150 แรงม้า GLA220d 190 แรงม้า ส่วนอีกรุ่นเป็น Plug-in Hybrid ใช้พื้นฐานเครื่องยนต์ 4 สูบ 1,300 ซีซี จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า รีดกำลังออกมาได้ 260 แรงม้า
การทำตลาดเริ่มแล้วในยุโรป โดยฐานการผลิตมีอยู่ 3 แห่งด้วยกันคือ เยอรมนี ,จีน และประเทศไทย