คนแต่ละคนย่อมมีตัวตนที่แตกต่างกันออกไป สำหรับ เต้ ศักดิ์สิทธิ์ พิศาลสุพงศ์ และ ยุ่ย พิสิฐ จงนรังสิน ตัวตนของพวกเขา ถูกบ่มเพาะขึ้นจากกาลเวลา หล่อหลอมขัดเกลาจนกลายเป็นตัวตนแห่ง Tube Gallery แฟชั่นเสื้อผ้าที่ฉีกทุกการดีไซน์ เป็นสไตล์ของตัวเองอย่างน่าจดจำ BMW Thailand ภายใต้แคมเปญ EXPERIENCE THE 7 ขอนำเสนอบทสัมภาษณ์พิเศษ มุมมองการใช้ชีวิตของบุคคลต้นแบบ ตัวแทนของนิยามแห่งคำว่า “The Individual” ที่จะเป็นแรงบันดาลใจ ให้การใช้ชีวิตของคุณไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
อะไรที่ทำให้สนใจเรื่อง Fashion Design ทั้งที่ไม่ได้เรียนด้านนี้มา
เต้ : "มันเป็นความชอบส่วนตัว เวลาที่ดูหนังดูละคร สิ่งที่จะดูก่อนเลยคือเขาแต่งตัวกันอย่างไร ผมโตมาในยุค 80’s 90’s สมัยที่ยังเป็นเรื่องของ Fashion Magazine ใครจะลงปก ดีไซน์เนอร์เป็นใคร มันเป็นความชอบที่เติบโตมากับตัวเองครับ"
ยุ่ย : "สำหรับผม ความสนใจมันมาตั้งแต่ยังเด็ก เนื่องจากคุณแม่เป็นครูสอนตัดเสื้อ และเราเองก็เห็นเขาทำมาตั้งแต่เด็ก มันคงซึมซับอยู่ในสายเลือด ประกอบกับสมัยเรียนทั้งผมและเต้ได้เรียนทางด้านศาสตร์ของเธียเตอร์ มันเลยได้ปูพื้นฐานทางด้านเสื้อผ้ามาในระดับหนึ่ง"
มีวิธีค้นหาความเป็นตัวตน หรือ Individual อย่างไร
เต้ : "จริง ๆ แล้วมันคงไม่มีวิธีการใดในการค้นหาตัวตนหรอก มันเป็นเรื่องของเวลาที่ค่อย ๆ เพาะบ่ม คำว่า 'Individual' หรือ 'ตัวตน' สำหรับเราทั้งคู่ เราใช้เวลากับมันพอสมควร เพราะเราไม่ได้เรียนมา อาศัยครูพักลักจำ อย่างเช่น ช่วงแรกของการทำให้เนื้องานออกมาน่าสนใจ น่าตื่นเต้น มันไม่เหมือนกันสักครั้ง เพราะพวกเรายังไม่เจอตัวตนของตัวเอง เหมือนศิลปินยุค 80’s 90’s ที่ออกเทปมา 6 - 7 เทปก็ยังไม่มีแกนของตัวเองเลยว่าจะเป็นแนวไหน จริง ๆ แล้วมันคือเรื่องของเวลา"
ยุ่ย : "สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานของผมเลยคือ ทำในสิ่งที่เรารัก และเชื่อมั่นในตัวตนของเราเอง เพราะถ้าเกิดเราไปลอกงานจากคนอื่น ท้ายที่สุดมันก็ไม่มีความเป็นตัวตนของเราอยู่ ฉะนั้นถ้าเราทำในสิ่งที่เรารักและเราหาตัวตนของเราเจอเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเราจะรู้ว่าเราจะเอาอะไรไปสู้กับคนอื่นเขาได้"
รู้ได้อย่างไรว่า นี่แหละคือสไตล์ที่ใช่สำหรับ Tube Gallery
เต้ : "คำถามนี้เป็นคำถามที่เราเอาไว้ถามตัวเองอยู่ตลอดตั้งแต่เริ่มทำงานแรก ๆ คงไม่มีอะไรจะช่วยเราไปได้มากกว่ากาลเวลา เรามีความฟุ้งซ่านมากในการทำงาน จนทำให้เราหลุดออกนอกกรอบของตัวเองไปบ้าง และคนรอบข้างนี่แหละที่คอยบอกเราว่า ความฟุ้งซ่านอะไรของเราที่มันเวิร์ค แล้วอะไรที่เราฟุ้งซ่านแล้วมันไม่บ้า เพราะฉะนั้นเราก็เลยค่อย ๆ ใช้กาลเวลาและคนรอบตัว ค่อย ๆ ปั้นตัวตนเราขึ้นมา"
ยุ่ย : "สำหรับผมการที่จะทำงานพวกนี้ได้ สิ่งแรกที่สำคัญเลยคือ เราต้องใจรักและทุ่มเทกับมัน เพราะไม่อย่างนั้นเราจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เราจะทำมันคืออะไร การที่จะค้นหาตัวตนของเราเจอ มันต้องใช้เวลาลองถูกลองผิดกับมัน เวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราได้ลองจับสิ่งที่ผิดมาทำให้มันถูก จนกลายเป็นผลงานขึ้นมาได้"
เคยมีเหตุการณ์ไหนที่คนไม่ชอบแล้วทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับการเป็นตัวเอง และมีวิธีการรับมือหรือจัดการกับมันอย่างไร
เต้ : "ตอนที่เราทำเสื้อผ้าแรก ๆ มีคนพูดว่า 'จะใส่ได้จริงหรอ' แบบสุภาพที่สุดแล้ว จริง ๆ แล้วคือจะบอกว่า 'สวยนะ แต่ใส่ไม่ได้' หรือมีคำที่บอกว่า 'ใครจะใส่ เหมือนเป็นการถูกตราหน้า' ซึ่งอันนี้เป็นแรงผลักดันว่า เราจะทำอย่างไรให้ความกฎไม่มีกฎหรือ Maximalism ที่เราอยากจะเป็นตัวของเรา มันอยู่ในกรอบที่คนยังใส่ได้ และไม่เหมือนใคร กว่าจะหาตรงนี้เจอ ต้องใช้เวลาทำงาน ซึ่งมันไม่ได้จะเจอภายใน 3 วัน 5 วัน ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเจอ และมันถูกขัดเกลาโดยคนรอบข้างว่าอะไรใช้ได้จริง ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในดุลพินิจของเราว่าเราต้องเชื่อไหม หรือเราจะเอาเข้ามาอยู่ในใจแล้วเอาไปพัฒนาต่อไหม"
ทำไมถึงเชื่อว่ากฎคือไม่มีกฎ
เต้ : "เราคิดว่าสิ่งที่เราคิดและทำมันตอบโจทย์ หนึ่งความเป็นตัวของตัวเอง สองคือคนอื่นที่มองเราเข้ามา ความเป็นอะไรก็ได้ที่มันไม่น้อย เราใส่เต็มที่ เราคลั่งเต็มที่ แล้วตรงนั้นทำให้เราได้เสียงตอบรับที่ดีกว่า แล้วพอเราได้เสียงตอบรับที่ดีเราก็เชื่อมั่นว่า นี่แหละคือตัวตนของเรา เราเลยจับจุดนี้ และมาเป็น individual ของเรา ... การที่ได้เรียนในระบบก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะคุณจะได้วิธีคิด แต่เมื่อคุณจะค้นหาเรื่องตัวตน มันจะเป็นอีกเวอร์ชันหนึ่ง เราจะไม่ได้เข้าสู่ขบวนการความคิดที่เป็นระบบ เมื่อเราไม่ได้ติดอยู่กับกฎตั้งแต่ต้น วิธีการของเราก็คือใส่ให้เต็มที่ไปก่อน ปาให้แรงที่สุดไปก่อน แล้วรอดูว่ามันจะเด้งกลับมาถูกทางไหม แล้วถ้ามันกลับมาทางไหน เราก็เอาทางนั้น"
ยุ่ย : "สำหรับคนที่ได้รับการเรียนมา วิธีการของเขาก็อาจจะไม่ต้องหาตัวตนในระดับหนึ่ง แต่สำหรับเรา เราใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตที่จะเจอตัวตนที่ชัดเจนของเรา เราใช้เวลาที่จะรู้ว่าทางไหนคือทางของเรา เพราะที่แน่ ๆ ทางของ Tube Gallery คือ ทางที่ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าถูกหรือผิด เพราะเราใช้คำนิยามของเราว่า ทุกอย่างคือศิลปะ เราทำผลงานของเราวันนี้ให้เป็น Masterpiece ถึงแม้เราจะไม่อยู่ในวันนี้ แต่ผลงานของเรายังอยู่ต่อไปในอนาคต เพราะฉะนั้นศิลปะจะถูกจดจำ แม้พวกเราจะไม่อยู่แล้วก็ได้"
ยุ่ย : "ข้อดีของการที่เราไม่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างมีระเบียบแบบแผน มันทำให้เราอยากทำอะไรก็ได้ ที่เราอยากทำ โดยไม่ต้องทำอะไรตามกฎเกณฑ์ และการที่ไม่ทำอะไรตามกฎเกณฑ์ มันก็เป็นโอกาสที่ดีที่ทำให้เราค้นหาในสิ่งที่คนอื่นอาจมองไม่เห็นก็ได้"
การเป็นตัวของตัวเอง มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร
เต้ : "แน่นอนข้อดีมีอยู่แล้วแน่ ๆ ในเรื่องการทำงานดีไซน์ ถ้างานที่ทำออกมาแล้วมีคนพูดว่า สวยนะ! แต่เคยเห็นแล้ว งานนั้นจะด้อยค่าขึ้นมาทันที มันเกิดขึ้นมาแล้วกับตัวเรา เวลาเราทำงาน มันจะต้องมีจุดที่ทุกคนมองมาแล้วเห็นเลยว่านี่แหละคือเรา เป็นตัวตนเรา เป็นเอกลักษณ์ของเราเองจริง ๆ ฉะนั้นเราจะต้องทำให้คนเห็นให้ได้ว่า สิ่งนี้คืองานที่เกิดจากการ Creativity ที่แท้จริง นี่แหละคือตัวตนที่แท้จริงของเรา"
สำหรับคนที่ไม่ได้ทำงานด้านนี้ คิดว่าความมีตัวตนจำเป็นไหม
เต้ : "เชื่อว่าทุกคนมีความเป็นตัวตนของตัวเอง แต่ในกลุ่มคนที่เขาไม่ได้ทำงานทางด้านดีไซน์ เขาอาจจะไม่ต้องใช้เวลาในการหาตัวตนนานหรือชัดเจนมาก เพราะงานที่เขาทำอาจจะไม่ต้องใช้ความเป็นตัวตนที่ชัดเจนในการอยู่รอดก็เป็นไปได้"
ยุ่ย : "มีคำหนึ่งที่ผมชอบมาก มันบอกว่า ถึงแฟชั่นมันจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่สไตล์มันไม่เคยเปลี่ยน มันสื่อถึงความเป็นตัวตนที่ชัดเจนมาก"
อยากฝากอะไรถึงคนที่ค้นหาตัวเองเจอแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร เพราะถูกจำกัดอยู่ใต้กรอบความคิดของคนอื่น จนไม่สามารถทำในสิ่งที่เป็นตัวตนของตัวเองได้
เต้ : "หนึ่ง ให้เวลากับตัวเอง เพราะผมมองว่าเวลาเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเรายังรับผิดชอบชีวิตตัวเองไม่ได้ การอยากเป็นตัวของตัวเองมากก็จะลำบากหน่อย ต้องให้เวลาเพื่อจะได้ตกตะกอนว่า วันหนึ่งที่เราเริ่มรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ เมื่อนั้นความเป็นตัวตนก็จะชัดเจนขึ้น สอง คือต้องเชื่อมั่นว่าเราเป็นคนอื่นไม่ได้ เราเป็นได้แค่ตัวเอง และสิ่งนี้แหละจะทำให้เรายืนอยู่ได้ยาว ๆ ในชีวิต ไม่เช่นนั้นเราก็จะเหมือนคนอื่นที่เปิดหน้าอินสตาแกรมแล้วโพสต์ท่าเหมือนกัน ทำอะไรเหมือนกันไปหมด มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร"
ยุ่ย : "อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือความอดทน กว่าเราจะหลุดออกมาจากสิ่งที่ถูกล้อมเอาไว้ได้ ต้องอาศัยความอดทน แล้วก็ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ว่าสิ่งนี้แหละคุณทำได้ มันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นภายในวันเดียว เหมือนการสร้างกำแพงเมืองจีน มันไม่ได้เสร็จภายในวันเดียว มันอาจจะใช้เวลาเป็นพันปีหรือพันวันก็ได้ เพราะฉะนั้นต้องเชื่อมั่นในตัวเองว่าคุณทำได้ แล้วคุณจะทำมันได้จนถึงจุดหมาย"
เต้ : "ขอเสริมอีกนิดหนึ่งว่า เราทำแฟชั่นมาก็ถือว่านานพอสมควรแล้ว มีคนเก่งกว่าเราเยอะมากตั้งแต่เราทำงานมา คนนั้นเรียนจบจากที่นู่นที่นี่ คนนั้นทำเสื้อผ้าสวยจังเลย แต่เขาอาจจะไม่ได้มาอยู่ถึงวันนี้ เพราะอะไร เพราะเราไม่ได้สวยอย่างเดียว เราสวยแล้วเราทน เราต้องทน เราต้องมีความอดทน"
ยุ่ย : "เวลาเราทำโชว์ก็มักจะมีคนคอมเมนต์ ว่างาน Tube Gallery เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เรารับฟัง และเอาคำเหล่านั้นมาสร้างสรรค์เป็นผลงาน เอาพูดของเขาเหล่านั้นมาสร้างเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างงานที่เป็นตัวของเราที่ชัดเจน แล้วตอกย้ำกลับไปว่า นี่แหละเราทำได้"
คติพจน์ประจำใจที่ทำให้ประสบความสำเร็จ
เต้ : "'Be yourself, everyone else is already taken' คำนี้มันใช่ มันถูกต้อง เพราะมันมากับการทำงานของพวกเรา เพราะเราทำเสื้อผ้า การเป็นดีไซน์เนอร์เราจะต้องรู้ว่าเราคือใคร ถ้าเกิดเราไม่เป็นใครสักคน เราก็จะไม่ได้เป็นใครสักคน ... เราคงเป็นได้เพียงแค่ตัวเองเนี่ยแหละ คงเป็นคนอื่นไปไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญคือ ความเชื่อมั่น และต้องรู้จักทั้งข้อดีและข้อเสียของตัวเอง แล้วเราต้องรู้ว่าเราจะทำอย่างไรให้ข้อดีมันเหนือกว่าข้อด้อย"
ยุ่ย : "และเราต้องเชื่อมั่นว่าเราทำได้ และเราจะทำมันให้ได้"