สตุ๊ทการ์ท- ในปีงบประมาณ 2019 ที่ผ่านมาปอร์เช่ เอจี ( Porsche AG) มียอดส่งมอบรถยนต์ใหม่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งรายได้จากการขาย และผลประกอบการก่อนศักราชใหม่ บริษัทสามารถสร้างยอดส่งมอบรถถึงมือลูกค้าได้มากกว่า 280,800 คัน ในปี 2019 หรือคิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึง 10 % เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า ในส่วนของรายได้จากการขายปรับตัวเพิ่มขึ้น 11 % หรือ 28.5 พันล้านยูโร ขณะที่ผลประกอบการเพิ่มขึ้น 3 % หรือ 4.4 พันล้านยูโร ทางด้านผลตอบแทนจากการขายเพิ่มขึ้น 15.4 % เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน จำนวนบุคลากรผู้ปฏิบัติงานมีอัตราส่วนเติบโตขึ้นกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งหมดกว่า 35,429 คน
Oliver Blume ประธานกรรมการบริหาร Porsche AG กล่าวว่า ในฐานะผู้บุกเบิกการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนแห่งโลกยนตรกรรมปอร์เช่ได้ดำเนินงานตามมาตรการสำคัญหลายประการในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่ชัดเจนสำหรับปี 2019 สังเกตได้จากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ยานยนต์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจ เหนือสิ่งอื่นใดคือการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ ไทคานน์ (Taycan) รถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้าสมบูรณ์แบบคันแรกของเรา
รถสปอร์ตจำนวนกว่า 31,618 คัน ได้รับการส่งมอบไปยังลูกค้าในเยอรมนี ตามด้วยอีกกว่า 88,975 คัน ถูกจำหน่ายไปทั่วทั้งทวีปยุโรป นอกจากนี้ บริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตชั้นนำของโลกยังสามารถทุบสถิติในตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 2 แห่งลงได้ นั่นคือประเทศจีน ด้วยยอดส่งมอบ 86,752 คัน นับเป็นตัวเลขการส่งมอบรถยนต์ใหม่ที่ปรับตัวสูงขึ้นถึง 8 % เมื่อเทียบกับปี 2018 เช่นเดียวกับตลาดประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งปอร์เช่ยังคงรักษาอัตราการเติบโตของยอดขายรถยนต์เอาไว้ได้ที่ 8 % หรือคิดเป็นจำนวนยอดส่งมอบกว่า 61,568 คัน นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ผู้ผลิตรถสปอร์ตรายนี้ สามารถเอาชนะสถานการณ์ภาพรวมทางเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีนักของ 2 ประเทศมหาอำนาจดังกล่าวไปได้
“ยนตรกรรมสปอร์ตสุดเร้าใจทุกคันที่เรามีอยู่ เป็นการผสมผสานอันลงตัวไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพการทำงานชั้นเลิศของขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน สมรรถนะการขับขี่ระดับสูงจากระบบ plug-in hybrids และปัจจุบันคือความสปอร์ตที่ได้จากพลังงานไฟฟ้าสมบูรณ์แบบ ปีงบประมาณ 2019 เป็นอีกครั้งที่ยอดจำหน่ายรถยนต์ของเราเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว เป็นเพียงสิ่งที่สร้างความประทับใจได้ช่วงเวลาหนึ่ง”
Blume อธิบายเสริมต่อไปว่า เป้าหมายแรกของปอร์เช่ คือการสร้างเสริมคุณค่าของแบรนด์ ตลอดระยะเวลาห้าปีที่เราประสบความสำเร็จด้วยผลงานที่เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 60 % สิ่งเหล่านี้เปิดโอกาสให้เราได้สรรสร้างคุณสมบัติที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อความเป็นบรรษัทภิบาลที่มีความรับผิดชอบต่อสาธารณชน ทั้งในส่วนของเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม
“ในปี 2019 เราสามารถทำลายสถิติในส่วนของรายได้ และผลกำไรก่อนรายการพิเศษ กำไรที่เพิ่มขึ้นเป็นผลรวมจากปริมาณการจำหน่ายที่สูงขึ้น เช่นเดียวกับการพัฒนาธุรกิจในส่วนงานและแผนกอื่นๆ ของเรา พร้อมกับการเติบโตของบริษัท ต้นทุนคงที่หรือ fixed costs ที่สูงขึ้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ งบประมาณลงทุนจำนวนมหาศาลในส่วนของรถพลังงานไฟฟ้าและระบบดิจิทัล รวมทั้งอัตราการแลกเปลี่ยนค่าเงิน ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบกับผลการดำเนินงานของเราทั้งสิ้น”
Lutz Meschke รองประธาน และสมาชิกคณะกรรมการบริหารผู้กำกับดูแลส่วนงานการเงิน และเทคโนโลยีสารสนเทศของ Porsche AG แสดงความคิดเห็นต่อไปอีกว่า “อย่างไรก็ตาม เป็นอีกครั้งที่เราประสบความสำเร็จตามแผนกลยุทธ์ที่ตั้งเป้าเอาไว้ ด้วยอัตราผลตอบแทนจากการขายก่อนรายการพิเศษที่ 15.4 % และอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่ 21.2% ”
ในส่วนของกรณีเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งเป็นรายการพิเศษที่เกิดขึ้นในไตรมาสที่ 2 ของปี 2019 เป็นจำนวน 0.5 พันล้านยูโร นั้น ส่งผลกระทบต่อรายงานการเงินของ Porsche AG ในปีงบประมาณ 2019 ทำให้ผลประกอบการหลังรายการพิเศษนี้อยู่ที่ 3.86 พันล้านยูโร และผลตอบแทนจากการขายหลังรายการพิเศษคิดเป็นอัตราส่วน 13.5 เปอร์เซ็นต์
เติบโตอย่างแข็งแกร่งในประเทศเยอรมนี และทวีปยุโรป
ปอร์เช่ คาเยนน์ (Porsche Cayenne) และ มาคันน์ (Macan) เป็นรถยนต์ 2 รุ่นที่มีส่วนสำคัญยิ่งต่อการเพิ่มขึ้นของยอดส่งมอบโดยรวม โดยปอร์เช่ คาเยนน์ (Cayenne) กว่า 92,055 คันถูกส่งถึงมือลูกค้าทั่วทุกมุมโลก หรือคิดเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นถึง 29 % เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า ทางด้าน มาคันน์ (Macan) ก็มียอดจำหน่ายสูงถึง 99,944 คัน เพิ่มขึ้น 16 %เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2018 ส่วนของการทำตลาดในถิ่นฐานบ้านเกิดของแบรนด์ และตลาดภาคพื้นยุโรป ปอร์เช่สามารถสร้างอัตราการเติบโตที่ยอดเยี่ยมที่สุดในปี 2019 จากยอดจำหน่ายที่ปรับตัวสูงขึ้นถึง 15 % เริ่มด้วย
การพัฒนาอย่างยั่งยืน
ยานพาหนะพลังงานไฟฟ้า คือภารกิจหนึ่งของปอร์เช่: ตำแหน่งงานใหม่ประมาณกว่า 2,000 อัตรา ได้ถูกสร้างขึ้นรองรับการมาถึงของ ไทคานน์ (Taycan) และบริษัทยังได้ดำเนินการจัดตั้งแคมเปญพิเศษเพื่อสนับสนุนกิจกรรมสาธารณะ โดยรถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้าทุกรุ่นที่ถือกำเนิดที่โรงงาน Zuffenhausen ล้วนแล้วแต่ผ่านสายการผลิตที่ปราศจากสารประกอบคาร์บอน หรือ carbon-neutral นับตั้งแต่ต้นปี 2020 ปอร์เช่เริ่มเปลี่ยนแปลงแหล่งพลังงานที่จ่ายให้โรงงานเป็นแบบปราศจากสารประกอบคาร์บอนเช่นเดียวกัน: ในส่วนของสำนักงานที่สร้างขึ้นใหม่จะเป็นอาคารประหยัดพลังงาน และใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ทั้งนี้ บริษัทสามารถผลิตพลังงานความร้อนได้จากโรงไฟฟ้า CHP ของตนเอง ซึ่งอาศัยการเผาไหม้ของก๊าซชีวภาพจากวัสดุรีไซเคิล และสิ่งปฏิกูล
ทุ่มงบประมาณเพื่อลงทุน
ภายในปี 2024 บริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตชั้นนำของโลกแห่งนี้ จะใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านยูโร สำหรับการพัฒนาระบบ hybridisation ระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า และเทคโนโลยีดิจิทัลในรถยนต์ รวมทั้งการก้าวขึ้นสู่ระดับหัวแถวขององค์กรผู้บุกเบิกยานพาหนะพลังงานไฟฟ้า สำหรับรถสปอร์ตรุ่นต่อไปที่กำลังจะเปิดตัว คือรุ่นย่อยของปอร์เช่ ไทคานน์ (Taycan) ด้วยตัวถังครอส ทัวริสโม่ (Cross Turismo) ตามด้วย มาคันน์ (Macan) รถสปอร์ต compact SUV เจเนอเรชั่นใหม่ ซึ่งจะได้รับการติดตั้งขุมพลังขับเคลื่อนไฟฟ้าเช่นเดียวกัน กลยุทธการดำเนินงานของปอร์เช่ในระยะถัดไป คือการเสริมรุ่นย่อยในทุกโมเดลด้วยระบบขับเคลื่อนพลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่อย่างสมบูรณ์แบบ โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถบรรลุแผนการดังกล่าวได้ภายในช่วงกลางของทศวรรษนี้ ปริมาณกว่าครึ่งของรถยนต์ทุกรุ่นที่ถูกจำหน่ายจะเป็นรถไฟฟ้า หรือรถยนต์ที่ติดตั้งขุมพลังไฮบริด
บริษัทได้รับการยืนยันคำสั่งซื้อจากลูกค้าประมาณ 30,000 ราย สำหรับปอร์เช่ ไทคานน์ (Porsche Taycan) ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในเดือนกันยายนที่ผ่านมา” Blume กล่าวเสริม “ลูกค้าของเรามากกว่า 15,000 คน ได้ลงนามในหนังสือสัญญาสั่งซื้อเป็นที่เรียบร้อย ปอร์เช่มั่นใจว่าจะสามารถผลิตรถยนต์เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นสูงในปี 2020 จากการมาถึงของ ไทคานน์ (Taycan) รวมทั้ง 911, 718 และ คาเยนน์ (Cayenne) ในรูปแบบตัวถังใหม่
“ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เรากำลังจะเผชิญหน้ากับวิกฤติเศรษฐกิจที่มาจากความท้าทายของสภาวะแวดล้อม ไม่เพียงแต่ความผันผวนที่มีผลมาจากการระบาดของโคโรน่าไวรัส” Meschke CFO ของปอร์เช่อธิบาย ถึงแม้จะมีการลงทุนมหาศาล เพื่อการพัฒนาระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าสำหรับผลิตภัณฑ์ยานยนต์รุ่นต่างๆ เทคโนโลยีดิจิทัล รวมไปถึงการขยาย และปรับปรุงส่วนงานต่างๆ ขององค์กรก็ตาม แต่บริษัทยังคงมุ่งมั่นรักษาระดับการบรรลุเป้าหมายขั้นสูงอย่างต่อเนื่อง มาตรการต่างๆ มีขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และพัฒนาสิ่งใหม่ๆ สร้างผลประโยชน์จากหลากหลายธุรกิจ เราตั้งเป้าเพื่อความสำเร็จในเชิงกลยุทธ ด้วยตัวเลขอัตราการตอบแทนจากการขายที่ 15 เปอร์เซ็นต์” Meschke เน้นย้ำส่งท้าย