“กักตัวเอง 14 วัน” ประกาศอย่างเป็นทางการของทางหน่วยงานราชการหลายหน่วยและเช่นเดียวกับที่ออฟฟิศของผู้เขียน ที่แจ้งให้ผู้ที่เดินทางไปยังประเทศกลุ่มเสี่ยงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสปอดอักเสบ (COVID-19) ซึ่งกำลังเขย่าโลกอยู่ในเวลานี้ ต้องกักตัวเองอยู่ในที่พักอาศัยเป็นเวลา 14 วัน… มีคำถามว่าแล้วผู้เขียนไปทำไม... คำตอบอยู่ในบทความชิ้นนี้...
นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย เชิญให้คณะสื่อมวลชนร่วมเดินทางท่องเที่ยวพิสูจน์สมรรถนะของรถยนต์นิสสัน 3 รุ่น ได้แก่ เทอร์ร่า, เอ็กซ์-เทรล และนาวารา บนเส้นทางของประเทศมาเลเซีย โดยเริ่มต้นจากหาดใหญ่ มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงกัวลาลัมเปอร์ ก่อนที่จะกลับมาสิ้นสุดการเดินทางที่ หาดใหญ่เช่นเดิม
สำหรับเรา ได้รับการวางตำแหน่งให้ขับจากกัวลาลัมเปอร์ไปยังเมืองกวนตัน ผ่านเมืองปุตราจายา และเมืองมะละกา ซึ่งถือว่าเป็นเส้นทางตัดขวางจากด้านตะวันตกของมาเลเซียไปยังตะวันออก โดยมีระยะทางทั้งสิ้น 650 กว่ากิโลเมตร
เริ่มต้นการเดินทางกันด้วยรถนิสสันเอ็กซ์-เทรล ที่ผู้เขียนเลือกนั่งในตำแหน่งผู้โดยสารตอนหน้าเป็นลำดับแรก ก่อนจะย้ายไปลองนั่งที่เบาะหลัง ด้วยเหตุผลง่ายๆ ร่างกายต้องการ “การพักผ่อน” ซึ่งเอ็กซ์-เทรล ไม่ทำให้ผู้เขียนผิดหวัง หลับสนิทและสบายตลอดการเดินทาง เช่นเดียวกับเมื่อเราไปเป็นคนขับและผู้ร่วมเดินทางสลับไปนั่งบ้าง ทุกคนต่างก็หลับสบายเช่นเดียวกัน ตลอดการเดินทางกว่า 250 กม. ของวันแรกนี้
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นคิวของการขับ นิสสัน เทอร์ร่า ที่เราเลือกขับเป็นมือแรก การขับขี่และตอบสนองของเครื่องยนต์อาจจะไม่ใช่เรื่องที่โดดเด่นสักเท่าไหร่สำหรับ เทอร์ร่า แต่ความนุ่มและนั่งสบายยังคงสร้างความประทับใจให้เราเหมือนเช่นเดิม ซึ่งช่วงล่างนี้คือจุดเด่นที่สุดของเทอร์ร่า ที่นิสสันน่าจะนำมาเป็นตัวชูโรงในการสร้างความรับรู้แก่ผู้บริโภค
“สบาย” คือนิยามตลอดการเดินทางด้วยเทอร์ร่ากว่า 400 กม. ในวันนี้ ทั้งการขนกระเป๋าเดินทาง6 ใบ (รับฝากมาจากสื่อท่านอื่นด้วย) การนั่งผ่านเส้นทางกึ่งออฟโรด ขึ้นเขา ลงห้วย ลุยป่า ฝ่าดง และหลงทาง ชนิดที่อยากจะบอกว่า ซ้ายหน้าผา ขวาร่องน้ำ และเราต้องกลับรถให้ได้ด้วยถนนเลนเดียวที่มีติ่งงอกแคบๆ ซึ่งเทอร์ร่า ทำได้พอดี ขอบคุณเทอร์ร่า สำหรับการเป็นพาหนะคู่ใจในวันนี้
สำหรับถนนหนทางในมาเลเซียนั้น ขอกล่าวชมแบบไม่กลัวหน้าแตกว่า ถนนดีงาม โดยเฉพาะทางหลวงและทางพิเศษ ไม่มีหลุมหรือผิวถนนที่เสียหาย ไร้แม้กระทั่งรอยแตกลายงา ขณะที่ถนนชนบทลูกรังนั้นไม่แตกต่างจากบ้านเรา สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่ได้รับการเอาใจใส่อย่างดีเยี่ยมจริงๆ
จุดต่างๆ ที่เราเดินทางไปนั้น ถือว่า สวยงามและเป็นสถานที่ยอดนิยมในการเดินทางท่องเที่ยว หากเป็นในช่วงเวลาปกติทั่วไป คุณจะเต็มอิ่มไปด้วยความสุขกับการเดินทางในเส้นทางเหล่านั้น
อย่างไรก็ตามการเดินทางไปที่ต่างๆ ในมาเลเซียในช่วงเวลานี้ (26-28 กุมภาพันธ์ 2563) ที่มีการประกาศว่า เมเลเซียมีผู้ติดเชื้อโควิด19และเป็นประเทศกลุ่มเสี่ยงตามประกาศของไทย ทำให้เราต้องระแวงและเตรียมการป้องกันตัวอย่างเต็มที่ ทั้งหน้ากากและแอลกอฮอร์
ซึ่งตรงข้ามกับคนท้องถิ่นของมาเลเซีย เรายังไม่เห็นการตื่นตัวหรือการป้องกันใดๆ เกี่ยวกับไวรัส โควิด19 ในประเทศมาเลเซีย ผู้คนยังคงใช้ชีวิตตามปกติ ยิ่งเมื่อเทียบกับ การตื่นตัวและเตรียมการป้องกันในประเทศไทยแล้วนั้น ประเทศไทยดูจะมีความตระหนักมากกว่า
ถึงบรรทัดนี้ ยอมรับว่า การเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในประเทศกลุ่มเสี่ยงด้วยการเดินทางแบบนี้ บอกเลยว่า “ไม่คุ้มค่า” ใครที่กำลังคิดจะเดินทางไปท่องเที่ยวหรือทำภารกิจ หากไม่จำเป็นจริงๆ แนะนำว่า “ควรหลีกเลี่ยง” ถ้าไม่ยกเลิกก็เลื่อนไปก่อนจนกว่าสถานการณ์คลี่คลายจะดีกว่า เพราะเมื่อกลับมาแล้ว ไม่ว่าจะติดหรือไม่ จำเป็นต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส