ในปี 2008 เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นและรู้จักกับ Mini E โดยครั้งนั้นเรียกเสียงฮือฮาได้ไม่ใช่น้อย นับเป็นการโชว์ศักยภาพของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปต่อการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ของโลก แต่ด้วยปัจจัยหลายประการทำให้ มินิ อี ที่ผลิตจริงในปีถัดมาเป็นเพียงรุ่นนำร่องที่ให้ผู้ที่ต้องการเช่าซื้อด้วยจำนวนที่จำกัดราว 500 คันทั่วโลก นัยว่าเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยรถทุกคันถูกนำกลับมาสู่ บีเอ็มดับเบิลยู เพื่อเก็บข้อมูล
ผ่านมา 10 ปี โลกได้ทำความรู้จักกับ มินิ อี อีกครั้ง ภายใต้ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Mini Electric ซึ่งมีกำหนดผลิตจำหน่ายอย่างเป็นทางการในปี 2020 นี้ และทีมงาน เอ็มจีอาร์ มอเตอริ์ง ไปทดลองขับมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มินิ อีเล็กทริค จะน่าสนใจเพียงใด เชิญติดตามได้
F56 x i3
การพัฒนาของ มินิ อีเล็กทริค อยู่ภายใต้การดูแลของแผนก Project I จาก BMW ซึ่งรับผิดชอบมาตั้งแต่ต้น โดยมีจุดมุ่งหมายอย่างเต็มเปี่ยมที่จะทำให้ลูกค้าของ มินิ เกิดความประทับใจ ไม่แตกต่างจากรถมินิรุ่นอื่นๆ
มินิ อีเล็กทริค ถูกสร้างขึ้นบนตัวถังของมินิ แฮทช์รุ่น 3 ประตู (รหัส F56) โดยยกมาทั้งคัน ไม่ว่าเป็น รูปทรงและออฟชัน จะมีความแตกต่างในส่วนของกระจังหน้า และล้อแม็กที่มากับลายพิเศษ เน้นไปที่เรื่องของแอโรไดนามิค โดยไม่ทิ้งความสวยงาม พร้อมความพิเศษที่ไม่มีการโชว์น็อตล้อให้เห็น ยากต่อการถูกขโมยล้อ
สำหรับ ระบบขับเคลื่อน ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญนั้น ยกเอามาจาก BMW i3 โดยเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดกำลัง 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร แต่มีจุดแตกต่างที่สำคัญมากตรงที่ไอ3 นั้นขับเคลื่อนล้อหลัง ส่วนมินิ อีเล็กทริคขับเคลื่อนล้อหน้า ส่งกำลังด้วยขุดเกียร์แบบ Single Stageอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 7.3 วินาที ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 150 กม./ชม.
แบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียม ไอออน ขนาด 32.6 kWh จำนวน 12 โมดูล ที่จัดวางในลักษณะตัว T ปูตามแนวยาว เพื่อการกระจายน้ำหนักที่ดี โดยหัวของตัว T นั้นจะวางไว้ที่ด้านหลัง ทำให้ยังคงมีพื้นที่ในห้องโดยสารและฝากระโปรงท้าย เพียงพอต่อการเดินทางไม่แตกต่างจากรุ่นใช้เครื่องยนต์
ตำแหน่งที่ชาร์จไฟอยู่บริเวณด้านล้อหลัง เหมือนกับรุ่นปกติ โดยมีสัญลักษณ์รูปตัว E บนฝาแสดงให้เห็นว่าเป็นรถไฟฟ้า ระยะเวลาการชาร์จไฟฟ้า ผ่านชุดวอลล์ชาร์จด้วยความเร็วในการอัดประจุ 7 kWh 0-100% จะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง 30 นาที และหากเป็นชุดความเร็วอัดประจุ 11kWh 0-100% จะใช้เวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง ส่วนการชาร์จไวที่ 50 kWh นั้น 0-80% จะใช้เวลาเพียง 30 นาที ระยะทางวิ่งสูงสุดทำได้ระหว่าง 235-270 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง
Go Kart Feeling
การขับขี่นั้นเริ่มต้นที่ใจกลางเมืองขับผ่านเส้นทางย่านชายหาดไมอามี่รวมระยะทางไป-กลับราว 100 กม. เราทำหน้าที่เป็นผู้ขับก่อนในลำดับแรก รวมสมาชิกในรถทั้งหมด 3 ท่าน ส่วนสูงระดับ170- 180 ซม. โดยมีหนึ่งท่านต้องนั่งทางด้านเบาะหลังที่ขออนุญาตใช้คำว่า นั่งได้แบบสบายเกินกว่าที่คาดหมายไว้
ความรู้สึกในการขับขี่ช่วงล่างยังคงเอกลักษณ์ Go Kart Feeling เอาไว้ได้เหมือนเช่นเคย แถมจะดีกว่าด้วยอัตราเร่งที่เร้าใจกว่าเดิม จังหวะกดคันเร่งแบบคิกดาวน์รถพุ่งกว่ารุ่น คูเปอร์ เอส แต่ ไม่ต้องแปลกใจ เพราะสิ่งนี้คือจุดเด่นขั้นพื้นฐานของรถไฟฟ้าทุกคันในยุคนี้ที่เหนือกว่ารถใช้เครื่องยนต์
ความเงียบและการไร้แรงสั่นสะเทือนเมื่อจอดนิ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นมาตรฐานของรถยนต์ไฟฟ้าทุกคัน เสียงที่คุณจะได้ยินมีเพียงเสียงลมจากช่องแอร์หรือเสียงพูดคุยระหว่างกันเท่านั้น และหากคุณชื่นชอบฟังเพลงในรถ บอกเลยว่า มินิ อิเล็กทริค จะมอบความสุนทรีให้ตลอดการเดินทางผ่านระบบเครื่องเสียงของ Harman kardon
ด้วยด้วยการจราจรที่หนาแน่น สัญญาณไฟแดงทุก 200-500 เมตร และข้อจำกัดในการใช้ความเร็วตามกฎหมายของไมอามี่ ทำให้เราขับขี่ด้วยความเร็วระหว่าง 50-80 กม/ชม. เท่านั้นแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ทราบถึงการใช้งานแบบในเมืองได้ คล่องตัวตามแบบฉบับมินิ แต่เหนือกว่าด้วยอัตราเร่งที่พร้อมพุ่งทะยานเพียงกดคันเร่งหนักเท่าสักหน่อย
พวงมาลัยเบามือและแปรผันตามความเร็ว คันเร่งสามารถปรับระดับความหน่วงหลังจากยกเท้าออกจากคันเร่งได้ 2 ระดับ ต่างจากรุ่น ไอ3 ที่ไม่สามารถปรับระดับได้ ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นที่สำคัญที่ทำให้ มินิ อิเล็กทริค ตอบโจทย์การใช้งานด้วยคำว่า สบาย ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
โดยเราแนะนำให้ปรับไว้ที่ระดับ Low เนื่องจากคุณจะได้ความรู้สึกในการขับขี่ไม่แตกต่างจากการใช้งานรถใช้เครื่องยนต์ทั่วไปที่เราคุ้นเคย แต่หากใช้งานระดับ High คุณจะได้การชาร์จไฟกลับมามากขึ้น และรถสามารถหยุดได้โดยไม่ต้องแตะเบรก แต่แลกมาด้วยความรู้สึกหน่วงแบบหนักสักหน่อย ซึ่งจำเป็นต้องทำความคุ้นเคยให้มากมิฉะนั้นจะหัวทิ่มได้ง่ายๆ เพียงแค่ปล่อยคันเร่ง
การใช้งานอื่นๆ โดยภาพรวมทั่วไป ไม่แตกต่างจากรถ มินิ รุ่นอื่นออฟชันใส่มาให้แบบครบครัน ใช้งานง่ายผ่านหน้าจอตรงกลางคอนโซล ตามแนวคิดของทีมวิศวกรผู้พัฒนารถที่คง DNA ของมินิเอาไว้ ส่วนจุดที่แตกต่างคือ หน้าปัด จะเป็นแบบดิจิตอลผิวด้านไร้เงาดูแปลกตา พร้อมกับระบบ HUD ช่วยอำนวยความสะดวกด้านข้อมูลการเดินทางที่ครบถ้วน
ระยะที่เราขับไปทั้งหมดประมาณ 50 กม. ใช้กำลังไฟไปราว 25% ดังนั้นหากใช้งานแบบปกติทั่วไป เช้าไปทำงาน เย็นกลับบ้าน ระยะทางรวมไม่เกิน 200 กม./วัน หมดห่วงเรื่องการหาที่ชาร์จ เพราะคุณจะสามารถนำมันกลับมาชาร์จที่บ้านได้ ด้วยความมั่นใจแบบเต็มร้อยเปอร์เซนต์
หลังจากนั้นเราได้สลับกลับเป็นไปผู้โดยสารบ้าง ความรู้สึกในการนั่งไม่แตกต่างจากผู้ขับ ช่วงล่างดูดซับแรงสะเทือนได้พอๆ กับรุ่นปกติ คือไม่ได้นุ่มสบายเหมือนรถขนาดใหญ่ จะเน้นไปในแนวทางสปอร์ตที่เกาะถนนหนึบเสียมากกว่า แน่นอนว่า หากให้เทียบกันระหว่าง มินิ อิเล็กทริค กับ มินิ คูเปอร์เอส โดยความชอบจากการได้ลองขับ ผู้เขียนยกให้ มินิ อิเล็กทริค
สำหรับ รุ่นย่อยที่จำหน่ายในประเทศเยอรมันนั้นจะมี 4 ทางเลือก คือ S, M, L และ XL ขณะที่การทำตลาดในประเทศอื่นๆ นั้นจะมีความแตกต่างกันไปขึ้นกับความเหมาะสมของประเทศนั้น ส่วนในประเทศไทย จะมีเพียงรุ่นย่อยเดียวเท่านั้น คือเทียบเท่ารุ่น L โดยมีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่จะถึงนี้
สนนราคาค่าตัว ตามมาตรฐานในยุโรป มินิ อิเล็กทริค จะมีราคาถูกกว่า มินิ คูเปอร์เอส ดังนั้น ในประเทศไทย จึงเป็นที่คาดหมายกันได้ว่า จะมีราคาถูกกว่า คูเปอร์เอส เช่นเดียวกัน ดังนั้น ราคาจึงน่าจะต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท แต่จะเป็นเท่าไหร่นั้นอีกไม่วันได้รู้แน่นอน
เหมาะกับใคร
มินิ อิเล็กทริค ไม่ใช่รถคันแรกและรถคันเดียวของบ้าน จึงเหมาะกับ คนที่เป็นสาวกมินิ และกำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้า ไว้ใช้งานสักคัน โดยสามารถใช้งานทุกวันได้ แน่นอนสิ่งที่คุณจะได้รับคือ ความโดดเด่น และสะท้อนภาพลักษณ์ที่น่าอิจฉาจากคนรอบข้างแบบไม่ต้องสงสัย และหากคุณได้ครอบครองในล็อตแรกๆ นี้ เตรียมตัวแถลงข่าวได้เลยเพราะจะมีคำถามตามมาจากเหล่ามินิสเตอร์อย่างมากมาย และแว่วว่า โควตาปีนี้มีเพียง 20 กว่าคันเท่านั้น จองก่อนรับรถก่อน ใครเร็วคนนั้นได้ เชื่อเราไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด