เรียกว่าเป็นการเปิดตัวโฉมใหม่ด้วยทางเลือกของเครื่องยนต์ที่มีความหลากหลายและสะท้อนถึงอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไป เพราะ Volkswagen Golf ใหม่ ซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นที่8 นั้นมีทางเลือกของเครื่องยนต์ในกลุ่มเบนซินที่เพียบ แต่รุ่นเทอร์โบดีเซลกลับเหลือเพียง 2 รุ่นเท่านั้น ผิดวิสัยการรุกตลาดยุโรป แถมยังมีรุ่นไฮบริดทั้ง Mild-Hybrid และ Plug-in Hybrid ออกมาเสริมทัพอีกด้วย
แน่นอนว่าชื่อของ Golf มีความคลาสสิกไม่ต่างจาก Beetle และถือเป็น Nameplate ที่ทำตลาดอย่างต่อเนื่องมานานนับจากปี 1974 โดยมีเปิดตัวออกมาแล้ว 7 เจนเนอเรชันด้วยกัน และกวาดยอดขายทั่วโลกรวมทุกตัวถังมากกว่า 35 ล้านคัน ส่วนรุ่นใหม่ถือเป็นเจนเนอเรชันที่ 8 ที่มีการปรับเปลี่ยนหลายอย่าง และมีหันมาเน้นความไฮเทคด้วยหลากหลายเทคโนโลยีที่ยกชุดมาจากพี่ใหญ่อย่าง Touareg และ Passat
สำหรับสิ่งใหม่ๆ ที่ว่าก็มีทั้งไฟหน้าแบบ Matrix LED ที่เรียกว่า I.Q.Light ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกับไฟหน้าของ Touareg และ Passat โดยชุดไฟของ Golf ใหม่จะประกอบด้วยหลอด LED มากถึง 22 ดวง ตามด้วยการนำเทคโนโลยี NFC มาใช้กับรถยนต์และผูกพันธมิตรกับ Samsung โดยเจ้าของสามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนของตัวเองเข้ากับระบบ Infotainment ของรถยนต์ แล้วสั่งเปิด-เปิดตัวรถได้จากสมาร์ทโฟนในระยะที่ไม่ไกลมาก
ส่วนระบบความปลอดภัยก็คือ การใช้เทคโนโลยี ACC หรือ Adaptive Cruise Control Lane Keeping System และ Lane Departure System เข้ามามีส่วนในเรื่องของการพัฒนาระบบ Travel Assist ให้กับคนขับที่เดินทางไกล โดยตัวรถสามารถปรับล็อคความเร็วได้สูงสุดถึง 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยเป็นระบบ Semi-Autonomous ที่ตัวรถสามารถแล่นไปได้ตามสภาพการจราจร แต่ผู้ขับยังต้องมีส่วนอีกนิดหน่อย นั่นคือจะต้องวางมือใดมือหนึ่งเอาไว้บนพวงมาลัย เผื่อมีเหตุสุดวิสัย และถ้าไม่วางมือเอาไว้ แค่ 15 วินาที ระบบจะเตือนเวยภาพและเสียงรวมถึงลดความเร็วหรืออาจจะถึงขั้นเบรกให้หยุดเลย
ตอนนี้มีการเปิดตัวออกมาเพียงแค่ตัวถังเดียวแบบแฮทช์แบ็ก 5 ประตูที่มีความยาว 4,284 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อ 2,636 มิลลิเมตร พร้อมความเพรียวลมที่ดีขึ้นจากรุ่นเดิม โดยมีค่า Cd อยู่ที่ 0.275 และได้รับการพัฒนาบนพื้นตัวถัง MQB ร่วมกับรถยนต์คอมแพ็กต์ในเครือ Volkswagen อย่าง Audi A3, Seat Leon และ Skoda Octavia โดยจะมีขายทั้ง 2 แบบในสไตล์ขับเคลื่อนล้อหน้าและ 4 ล้อ ซึ่งระบบช่วงล่างหน้าเหมือนกันคือ แม็คเฟอร์สันสตรัท แต่ด้านหลังจะเป็นแบบทอร์ชันบีมสำหรับรุ่นขับล้อหน้า และมัลติลิงค์สำหรับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ
หลากหลายทางเลือกแต่น่าแปลกใจที่เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลมีน้อยลง และ Volkswagen หันไปเน้นเครื่องยนต์เบนซิน และไฮบริดแทนที่ โดยมีทั้งแบบ 3 สูบ และ 4 สูบ เริ่มจากเบนซิน TSI 1,000 ซีซี เทอร์โบ 89 แรงม้า และ 110 แรงม้า ตามด้วย 1,500 ซีซีเทอร์โบ 130 และ 150 แรงม้า แต่ถ้าต้องการความประหยัดก็ต้องรุ่นไฮบริดแบบ Mild-Hybrid ที่ใช่เครื่องยนต์ 1,500 ซีซี เทอร์โบเป็นพื้นฐานจับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า และมีให้เลือกหลายระดับกำลังขับเคลื่อน คือ 110, 130 และ 150 แรงม้า
ส่วนรุ่น Plug-in Hybrid แบบเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้จะใช้พื้นฐานของรุ่นเบนซิน 1,400 ซีซี เทอร์โบ มีกำลังขับเคลื่อน 204 และ 245 แรงม้า แถมยังแล่นในโหมด EV ได้ประมาณ 60 กิโลเมตรโดยอาศัยกระแสไฟฟ้าที่ถูกชาร์จในแบตเตอรี่ ส่วนเทอร์โบดีเซลที่เมื่อก่อนเป็นเครื่องยนต์ยอดนิยมของคนยุโรป ตอนนี้ดูเหมือนจะโดนลดบทบาทลง และมีขายเพียง 2 รุ่นเท่านั้น คือ 2,000 ซีซี 116 และ 150 แรงม้า ส่วนใครที่รอตัวแรงอย่าง GTi ก็รอกันต่อไปเลย เพราะตอนนี้ยังไม่มข่าวออกมา แต่เชื่อว่ามาแน่นอนปีหน้า
ใครที่ขอบคอมแพ็กต์ยุโรป มีตำนานเอาไว้คุย และได้รับการปรับปรุงหลายจุดโดยเฉพาะความไฮเทคของระบบต่างๆ Volkswagen Golf ใหม่ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ และคราวนี้ต้องดูว่าบ้านเราจะมีเข้ามาเมื่อไรเท่านั้นเอง