xs
xsm
sm
md
lg

บททดสอบขับ “นิสสัน ลีฟ” ขึ้นดอย ไป-กลับ ไฟฟ้ายังเหลือ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง ได้นำเสนอการทดสอบ นิสสัน ลีฟ กันไปหลายตอนแล้ว ล่าสุด นิสสัน ประเทศไทย ได้เชิญสื่อมวลชนร่วมทดสอบ นิสสัน ลีฟ อีกครั้งโดยครั้งนี้เป็นการขับขึ้นดอยอินทนนท์ รวมระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร เพื่อพิสูจน์สมรรถนะในการขับ ภายใต้การชาร์จไฟฟ้าเพียงครั้งเดียว






ราเมซ นาราสิมัน ประธาน นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า “เราต้องการให้ทุกคนทราบถึงสมรรถนะ นวัตกรรม และความสะดวกสบายของนิสสัน ลีฟ ซึ่งมีพื้นฐานการออกแบบของการพัฒนาเพื่อให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่เริ่มแรก และการขับขึ้นดอยอินทนนท์ บนถนนที่มีช่องจราจรเดียว เป็นการทดสอบที่สามารถพิสูจน์สมรรถนะในแต่ละด้านของรถได้เป็นอย่างดี”











ที่สำคัญในช่วงขับลงในพื้นที่ลาดชันยังแสดงให้เห็นถึงระบบฟื้นฟูพลังงานที่เป็นความเรียบง่ายอย่างอัศจรรย์ของรถยนต์ไฟฟ้า ที่ช่วยเพิ่มระยะทางในการขับขี่ รวมถึงเทคโนโลยี e-Pedal ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในนิสสัน ลีฟ เทคโนโลยี e-Pedal จะเพิ่มความสะดวกให้ผู้ขับขี่ในการออกตัว เร่งความเร็ว ชะลอความเร็ว หยุดนิ่งและควบคุมตัวรถให้อยู่กับที่ด้วยการใช้แป้นคันเร่งอย่างเดียว ไม่ต้องเหยียบเบรกบ่อยครั้งเมื่อต้องการชะลอระดับความเร็วหรือหยุดรถ ซึ่งช่วยลดความเมื่อยล้าและเพิ่มความเพลิดเพลินในการขับขี่




สำหรับการขับขี่เริ่มขึ้นที่โรงแรมที่พัก ซึ่งมีรถนิสสัน ลีฟ จอดเรียงรายเสียบสายชาร์จไฟจนเต็มทุกคัน จากข้อมูลบอกว่า นิสสัน ลีฟ หากชาร์จไฟเต็มแบตเตอรี่จะสามารถวิ่งได้ในระยะทาง 311 กิโลเมตร ถือว่าไม่น้อยทีเดียว แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละคนด้วย














ดังนั้น การขับขึ้นดอยอินทนนท์ที่มีความลาดชัน ขึ้นเขา-ลงเขา จึงเป็นการท้าทายไม่น้อยว่าคันที่เราทดลองจะเหลือไฟฟ้าเท่าไหร่เมื่อถึงโรงแรม เพราะการขับขี่ขึ้นเขากำลังไฟจะถูกดึงมาใช้มากกว่าการขับขี่ในเส้นทางปกติ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าขากลับเราจะสามารถดึงไฟกลับมาตอนขาลงได้เท่าไหร่ ขับอย่างไรให้ได้ไฟกลับมามากสุด เนื่องจากการขับลงเขาแทบไม่มีการใช้คันเร่ง หรือใช้มากเท่าตอนขึ้น ดังนั้น จังหวะการเบรก การชะลอความเร็วมอเตอร์ไฟฟ้าจะเปลี่ยนพลังงานที่สูญเสียจากการเบรกกลับมาเป็นพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่ เป็นการชาร์จไฟกลับคืนอีกครั้ง หรือที่เรียกว่า Regenerator Braking system ตรงนี้เป็นความท้าทายในการทดสอบ นิสสัน ลีฟ ในครั้งนี้ เพราะถ้าเราไม่สามารถทำได้ นั่นหมายถึงเราขับรถไม่ถึงโรงแรมแน่นอน
















เมื่อเราเริ่มออกจากจุดสตาร์ทที่โรงแรมปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรี่มี 100% เต็ม โดยเราขับร่วมกับสื่อมวลชนอีกท่านหนึ่ง พวกเราขับลัดเลาะไปตามทาง จนสู่จุดยอดอยอินทนนท์ ปริมาณไฟฟ้าเราเหลือ 28% ดังนั้น ขาลงเราต้องทำให้พลังงานไฟฟ้ากลับมาให้ได้มากสุด และนำพารถกลับให้ถึงโรงแรมด้วย ซึ่งพวกเราขับถึงโรงแรมไฟฟ้าที่เหลืออยู่ในรถ 20% ถือว่าเป็นตัวเลขที่ดีทีเดียว แน่นอนพลังงานที่ได้ส่วนหนึ่งเกิดจากการขับโหมด B ของนิสสัน ลีฟ ซึ่งมีส่วนช่วยให้พวกเราได้การฟื้นฟูพลังงานมากยิ่งขึ้นในขณะที่ชะลอความเร็ว การเบรก เท่ากับว่าระบบดังกล่าวทำให้เรามีไฟฟ้าเหลือพอที่จะขับมาถึงจุด Finish และเหลือไฟเยอะพอประมาณ














ส่วนการขับรถไฟฟ้าคันนี้ ไม่มีอะไรแตกต่างจากรถทั่วไป สมรรถนะกำลังของเครื่องยนต์มาแบบไม่ติดขัด ราบรื่นทั้งช่วงออกตัวและช่วงใช้ความเร็วไปแบบสบายๆ ช่วงขึ้นเขาก็มีแรงส่งได้อีกแบบเหลือๆ เพราะว่านิสสัน ลีฟ มีแรงบิดสูงสุดถึง 320 นิวตันเมตร สามารถให้อัตราเร่งอย่างน่าทึ่ง แต่สิ่งที่ประทับใจมากคือความเงียบขณะขับ ซึ่งมันแน่นอนอยู่แล้ว เพราะมันเป็นรถไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์ เต็ม






สรุปบททดสอบของการพิชิตดอยอินทนนท์ ของนิสสัน ลีฟ ถือว่าสอบผ่าน เนื่องจากทางขึ้นดอย ขึ้นเขาลงเขาสลับกันไป แต่รถไฟฟ้า 100% คันนี้ ยังมีสมรรถนะในการขับขี่ทีดีเยี่ยมเกาะถนนดี เรียกได้ว่าขับดีทั้งในเมืองและขับเที่ยวนอกเมือง ไม่ได้แตกต่างจากเครื่องยนต์ธรรมดาทั่วไป นั่งสบาย ภายในดีไซน์สวย อุปกรณ์ทันสมัยเพียบ แถมประหยัดอีกด้วย เพราะไม่ได้ใช้น้ำมันเลย ที่สำคัญมันเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ติดอย่างเดียวคือ ราคาค่าตัวที่เปิดมาแรงเกินไปอยู่ที่ 1.99 ล้านบาท










สำหรับลูกค้าจอง ลีฟ ใหม่ ช่วงนี้จะได้รับประกันคุณภาพรถยนต์เป็นเวลา 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร พร้อมรับประกันระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และการรับประกันการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่เป็นเวลา 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร




สรุป ถ้าคุณไม่ติดเรื่องเงิน นิสสัน ลีฟ ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ไม่น้อยทีเดียว สำหรับรถไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์ คันนี้






































กำลังโหลดความคิดเห็น