ลุยโครเอเชียต่อตอนที่ 2 หลังจบภารกิจในวันแรกด้วยการสัมผัสตระกูลทัวริ่งโฉมปี 2018 สองโมเดล Road Glide และ Street Glide (คลิ๊กอ่านตอนที่1 จากลิ้งก์นี้ครับ 3 คืน 4 คัน บนพระจันทร์เสี้ยว “Harley-Davidson Ride Ride Slide”(ตอนที่1)
Day 2 : Sportster เซเลบบนพรมแดง
วันที่สองก่อนเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ผมอยากบอกสรุปสั้นๆ แบบนี้
“ขี่สปอร์ตเตอร์แล้วรู้สึกเหมือนกำลังสวมบทเป็นดาราเซเลบเดินอยู่บนพรมแดง”
ไม่สิ ความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกแล้ว เพราะไม่ว่าจะขึ้นคร่อมตระกูลทัวริ่งหรือโมเดลยอดนิยมอย่างสปอร์ตเตอร์ ตลอดสองข้างทางในย่านชุมชนของเมืองสปลิท ผมเห็นสายตาที่จับจ้องมองกลับมา
มั่นใจว่าเป็นสายตาแบบเดียวกับที่เวลาเรามองเหล่าซูเปอร์สตาร์ย่างเท้าเฉิดฉายอยู่บนผืนพรมสีแดงยังไงยังงั้นเลย
ให้ตายเถอะ สาบานได้ว่าผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
โมเดลใหม่ 2 รุ่น ตามโปรแกรมที่เราได้สัมผัสในวันนี้ คือ lron 1200 และ Forty-Eight Special (ในไทยขณะนี้ยังต้องรอคิวการทำตลาด ปัจจุบันมีจำหน่ายรุ่น Iron 883 ราคาเริ่มต้น 692,000 บาท ส่วน Forty-Eight ค่าตัวเริ่มที่ 902,000 บาท)
โดยทั้งสองรุ่นใช้พื้นฐานหลายอย่างร่วมกัน หลักใหญ่อยู่ที่เครื่องยนต์ วี-ทวิน ขนาด 1,202 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยอากาศ ให้แรงบิด 96 นิวตันเมตร
ด้านความแตกต่างอยู่ในส่วนของการจัดวางองค์ประกอบตำแหน่งท่านั่ง ความสูงแฮนด์ ระยะพักเท้า ขนาดวงล้อ โช้กอัพหน้า(รายละเอียดยิบย่อยไม่ขอพูดถึงนะครับ) ซึ่งทั้งหมดล้วนมีผลต่อบุคลิกการควบคุมบังคับแทบทั้งสิ้น
หลังขับขี่กันไปทั้งวันระยะทางรวมเกือบ 200 กิโลเมตร ช่วงนอกเมืองซิ่งเล่นโค้งกันสนุกสนาน ทุกคันเซ็นเซอร์พักเท้าโดนเหลากุดไม่มีเหลือ
ถ้าให้เลือก ตัดสินใจลำบากครับ ผมชอบ lron 1200 ตรงที่ความเป็นธรรมชาติในการควบคุม การถ่ายเทน้ำหนักทำได้ดีกว่า แต่พออยู่ในโค้งกลับชอบ Forty-Eight Special ที่เหนือกว่าด้านความเสถียร
อย่างไรก็ตาม มีคำถามหนึ่งที่หลายคนเอ่ยทักหลังผมเดินทางกลับมาจากกิจกรรมทดสอบขับขี่ที่โครเอเชีย
“รถแรงไหม เร้าใจไหม”
ผมบอกเลยว่า อยากเร็วแรงสองรุ่นนี้ในตระกูลสปอร์ตเตอร์ไม่ผิดหวัง สามารถตอบสนองได้อย่างแน่นอน แต่จะเหมาะสมกับการขับขี่และสไตล์ของตัวรถหรือไม่ นั่นอีกเรื่อง
คิดดีๆ เลือกให้ถูก บนพรมแดงคุณจะเดินหรือจะวิ่ง
Day 3 : Flat Track Race ผงฝุ่นและมิตรภาพ
“...ทุกท่านมาเพื่อเข้าถึงกิจกรรมวันหยุดของชาวฮาร์ลีย์-เดวิดสัน”
หากยึดตามคำกล่าวของนิก ตลอดสองวันที่ผ่านมา คงเหมือนกับการขับขี่ออกทริปเพื่อเดินทางไปยังสถานที่พักผ่อน ส่วนในวันสุดท้ายก็คือการหากิจกรรมสนุกๆ ทำร่วมกันของกลุ่มลูกค้าแบรนด์ดังสัญชาติอเมริกันนั่นเอง
สำหรับกิจกรรมนี้มีเซอร์ไพรส์ 3 อย่าง ข้อแรก-เราได้ใกล้ชิด รูเบน ซาอุส(Ruben Xaus) อดีตนักบิดโมโตจีพี ผู้มารับหน้าที่เป็นครูฝึกเฉพาะกิจให้พวกเราเปิดประสบการณ์ใหม่ในสนามแฟล็ตแทร็ก ข้อสอง-ขับขี่โมเดลพิเศษ Street Rod 750 ที่ได้รับการปรับแต่งโฉมให้เป็นตัวแข่งพร้อมสไลด์
และข้อสาม-ผมได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนนักบิดไทยลงทำการแข่งขัน
อย่าเพิ่งตื่นเต้น ไม่ใช่เรซจริงจังอย่างที่คิดครับ
เกมดวลความเร็วแบบเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด หน้าฉากมีความดุดันก็จริงอยู่ ต่างคนต่างหวังชัยชนะ มีกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่แก่นแท้ของการล้มลุกคลุกฝุ่นครั้งนี้ ผมกลับมองว่าเป็นอีเว้นต์ปิดท้ายที่ทีมงานตั้งใจดึงผู้ร่วมกิจกรรม ซึ่งมาจากหลากหลายประเทศ ให้เข้ามาละลายพฤติกรรม พร้อมทั้งเรียนรู้และทำความรู้จักกันให้ดีขึ้นมากกว่า
มื้อเย็นหรือดินเนอร์ในวันสุดท้ายก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน ผมจำไม่ได้ว่าเมนูไหนอร่อยที่สุด รู้แต่ว่าอิ่มมากแน่นท้องไปหมด ไม่ได้กินเยอะนะครับ
แน่นเพราะรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเต็มกระเพาะอาหารต่างหาก
Mission complete : ปิดทริปความคิดเปลี่ยน
ผมไม่รู้ว่าการมาเยือนดินแดนพระจันทร์เสี้ยวของนักข่าวหรือนักทดสอบคนอื่นๆ จะได้อะไรกลับไปบ้าง แต่สำหรับผมยกให้เป็นทริปล้ำค่าสุดตื่นเต้นแห่งปี
มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายที่ทำให้เราเติบโตขึ้น ทั้งความคิดและจิตวิญญาณ ควรค่าบันทึกอยู่ในความทรงจำ เห็นควรว่าน่าจะถ่ายทอดเป็นชิ้นงานตัวอักษรบนพื้นที่ช่องทางอื่นๆ ในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป
นั่นคือในมุมของการเดินทางเปิดโลกกว้างแบบตัวคนเดียว
ขณะที่ในด้านการขับขี่ก็น่าอัศจรรย์ใจ นับเป็นประสบการณ์ที่ดีและให้ความประทับใจไม่ต่างกัน ซึ่งบอกตามตรงผมไม่รู้จะเขียนบรรยายออกมาอย่างไรดี เอาเป็นว่าขี่บิ๊กไบค์ยี่ห้อไหนก็ตาม ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้
ก่อนไปและหลังกลับมา ทัศนคติเกี่ยวกับแบรนด์เก่าแก่ที่เพิ่งฉลองครบรอบ 115 ปี ในปีนี้ เปลี่ยนจากเดิมไปตลอดกาล
“ถ้าคุณซื้อมอเตอร์ไซค์ยี่ห้ออะไรก็ตาม คุณก็จะได้แค่มอเตอร์ไซค์ แต่ถ้าคุณซื้อฮาร์ลีย์-เดวิดสัน คุณจะได้ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน”
กิจกรรม Ride Ride Slide ทำให้ผมเข้าใจความหมายของประโยคนี้.