นิสสันประกาศรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดรถไฟฟ้า กางแผนเปิดตัวอีวีใหม่ 8 รุ่น ลั่นปี 2022 ดันยอดขายอีวีเพิ่มเป็น 1 ล้านคัน ส่งรถอัตโนมัติ 20 รุ่นลงขายใน 20 ตลาด รวมทั้งติดตั้งระบบคอนเน็กติวิตี้ในรถนิสสันและอินฟินิตี้ทุกรุ่น
เป้าหมายใหม่นี้จะช่วยส่งเสริม M.O.V.E ซึ่งเป็นแผนการระยะ 6 ปีจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2023 ที่ฮิโรโตะ ไซกาวะ ซีอีโอนิสสัน มอเตอร์ ประกาศไว้เมื่อไม่นานมานี้
ส่วนหนึ่งของแผนการดังกล่าวคือ การเพิ่มรายได้ทั่วโลกเป็นปีละ 160,000 ล้านดอลลาร์ จาก 120,000 ล้านดอลลาร์ในปีการเงินที่สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2017 และส่วนต่างกำไรจากการดำเนินงานที่ 8%
กลยุทธ์การเติบโตที่ผู้ผลิตรถหมายเลขสองของญี่ปุ่นแห่งนี้ประกาศเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (23) โฟกัสที่การทุ่มลงทุนใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ระบบรถไฟฟ้า ระบบขับขี่อัตโนมัติ และระบบคอนเน็กติวิตี้ โดยเฉพาะส่วนแรกที่นิสสันทุ่มเต็มที่เพื่อรับมือผู้เล่นหน้าใหม่มากมาย รวมทั้งกฎระเบียบควบคุมไอเสียที่เคร่งครัดขึ้นทั่วโลก แม้ดีมานด์ขณะนี้ยังน้อยนิดจากราคารถเองและโครงสร้างพื้นฐานในการชาร์จไฟก็ตาม
ตัวอย่างเช่น โตโยต้า มอเตอร์ที่ประกาศเมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่แล้วว่า จะออกรถไฟฟ้า 10 รุ่นต้นทศวรรษ 2020 และทำยอดขายให้ได้ 5.5 ล้านคัน ซึ่งรวมถึงไฮบริดและรถเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนในปี 2030 ต่อมาในเดือนมีนาคม โฟล์คสวาเกนเผยแผนขยายการผลิตรถไฟฟ้าในโรงงาน 16 แห่งทั่วโลกในปี 2022 ตั้งเป้ายอดผลิตไว้ที่ 3 ล้านคันใน 3 ปีถัดไป
อย่างไรก็ตาม สำหรับตอนนี้ นิสสันยังคงเป็นบริษัทที่ทำยอดขายรถไฟฟ้ามากที่สุดในโลก จากลีฟ อีวีที่เปิดตัวเมื่อปี 2010 และขายได้กว่า 300,000 จนถึงวันนี้
นิสสันเล็งเป้าหมายยอดขายอีวีทั่วโลก 1 ล้านคัน ครอบคลุมถึงรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบและไฮบริด ภายในสิ้นปีการเงิน 2022 หรือ 6 เท่าจากยอดขายปีที่แล้วที่อยู่ที่ 163,000 คัน กำลังสำคัญของแผนการนี้คือ “อี-พาวเวอร์” ซึ่งเป็นระบบเพิ่มระยะทางในรถไฮบริดที่ขณะนี้ติดตั้งในรถที่ขายในญี่ปุ่นแล้ว โดยอี-พาวเวอร์จะใช้น้ำมันเบนซินให้กำลังงานมอเตอร์ ทำให้ใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กกว่ารถไฟฟ้า ต้นทุนการผลิตจึงถูกลง
สำหรับอินฟินิตี้ ซึ่งเป็นแบรนด์รถหรูในเครือนิสสันนั้นจะคลอดรถไฟฟ้ารุ่นแรกในปี 2021 และนับจากปี 2025 ยอดขายครึ่งหนึ่งของแบรนด์นี้จะมาจากรถไฟฟ้าล้วนหรือรถไฮบริดที่ใช้อี-พาวเวอร์ ตามแผนปั้นอินฟินิตี้เป็นแบรนด์รถไฟฟ้าเบอร์ 1 ในตลาดอีวีพรีเมียม
นิสสันคาดว่า ยอดขายรถในญี่ปุ่นและยุโรปจะคิดเป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของยอดขายทั้งหมดของบริษัทภายในปี 2025 สำหรับยอดขายในอเมริกาน่าจะอยู่ระหว่าง 20-30% และจีน 35-40%
สำหรับอีวีใหม่ 8 รุ่นที่มีกำหนดเปิดตัวภายใน 5 ปีนับจากนี้นั้นจะออกมาเสริมทัพรุ่นที่มีอยู่แล้วคือ ลีฟ และอีเอ็นวี200 โดย 4 รุ่นในจำนวนนี้จะส่งขายจีนโดยตรง อีกหนึ่งรุ่นเป็นครอสโอเวอร์ iMX หรือคอนเซ็ปต์คาร์ที่แสดงในโตเกียว มอเตอร์โชว์ปีที่แล้ว ซึ่งนิสสันเตรียมส่งขายทั่วโลกในเวอร์ชันที่ติดตั้งเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติพร้อมสรรพ
นอกจากนั้นนิสสันและพันธมิตรคือ เรโนลต์จากฝรั่งเศส และมิตซูบิชิ มอเตอร์จากญี่ปุ่น ยังมีแผนร่วมกันเปิดตัวอีวีรวมกัน 17 รุ่น อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปั้นยอดขายรวมปีละ 14 ล้านคันในปี 2022 จาก 10.6 ล้านคันเมื่อปีที่แล้ว
ในส่วนรถไร้คนขับนั้น อาวุธสำคัญของนิสสันคือ “โปรไพล็อต” ซึ่งเป็นระบบความปลอดภัยขั้นสูงประกอบด้วยระบบช่วยป้องกันรถออกนอกเลน ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ เป็นต้น ปัจจุบัน นิสสันติดตั้งระบบนี้ในรถ 4 รุ่น ได้แก่ ลีฟ, เอ็กซ์-เทรล, แคชไค และเซเรนา และจนถึงวันนี้ นิสสันขายรถที่ติดตั้งระบบโปรไพล็อตไปแล้วประมาณ 110,000 คัน
ปี 2022 นิสสันจะเปิดตัวรถใหม่ที่ติดตั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยนี้เพิ่มอีก 20 รุ่น และตั้งเป้ายอดขายปีละ 1 ล้านคัน
ฟิลิปป์ ไคลน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวางแผนของนิสสัน สำทับว่า บริษัทไม่มีแผนยกเลิกการทดสอบรถไร้คนขับ หลังเกิดเหตุรถอัตโนมัติของอูเบอร์ชนคนตายในอเมริกาเมื่อกลางเดือน ซึ่งถือเป็นผู้เสียชีวิตคนแรกจากการทดสอบรถไร้คนขับเต็มรูปแบบ
ไคลน์ยืนยันว่า การทดสอบของนิสสันปลอดภัย เนื่องจากมีคนขับที่ฝึกมาเป็นพิเศษนั่งประจำตำแหน่งหลังพวงมาลัยพร้อมเข้าแทนที่ระบบอัตโนมัติทันทีเพื่อให้มั่นใจว่า การทดสอบมีความปลอดภัยสูงสุด และยังมีวิศวกรอีกคนที่เบาะหลังเพื่อตรวจสอบระบบ
ปัจจุบัน นิสสันทดสอบรถอัตโนมัติในลอนดอน โตเกียว และแคลิฟอร์เนีย รวมทั้งทดสอบบริการโรโบแท็กซี่บนถนนสาธารณะในโยโกฮามาเมื่อต้นเดือนมีนาคม ก่อนเริ่มให้บริการในญี่ปุ่นต้นทศวรรษ 2020
แม้รถอัตโนมัติยังไม่ได้รับอนุญาตให้วิ่งบนถนนสาธารณะในญี่ปุ่น แต่บริษัทรถยักษ์ใหญ่ต่างมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีนี้ รถอัตโนมัติที่มีจำหน่ายในตลาดขณะนี้จะสามารถเบรกอัตโนมัติก่อนชน รวมถึงควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางขณะขับบนทางหลวง อย่างไรก็ตาม คนขับจะต้องนั่งประจำตำแหน่งและมือกุมพวงมาลัยตลอดเส้นทาง