xs
xsm
sm
md
lg

ปอร์เช่ พานาเมรา 4 อี-ไฮบริด ล้ำ-หรู-แรงครบ จบในคันเดียว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รถยนต์หรูหราระดับพรีเมี่ยมในเมืองไทยนั้นอาจจะเป็นตลาดที่เล็กและตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มน้อย แต่เซกเมนท์นี้ถือว่าเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงที่สุด แน่นอนเพราะด้วยราคาค่าตัวของรถในกลุ่มนี้จะอยู่ระดับ สิบล้านบวกลบ และมีแบรนด์รถยนต์ทำตลาดอยู่จำนวนไม่น้อย หนึ่งในนั้นคือ ปอร์เช่ แบรนด์รถสปอร์ตจากเยอรมนี

ปอร์เช่ นอกจากการทำรถสปอร์ตแล้วยังมี คาเยนน์ ทำตลาดในส่วนของเอสยูวี และ “พานาเมร่า” ทำตลาดในส่วนรถยนต์นั่งแบบซาลูน ตามคำเรียกขานของปอร์เช่ สำหรับรูปลักษณ์ของ พานาเมร่า นั้นมาในแนวทางของรถเอนกประสงค์ที่ฝาหลังเปิดได้เช่นเดียวกับรถแบบแวน หรือเอสเตท

ปอร์เช่ พานาเมร่า เริ่มเข้าสู่ตลาดเมื่อปี 2009 ปัจจุบัน เป็นเจเนอเรชันที่ 2 ซึ่งออกสู่ตลาดเมื่อปี 2017 โดยเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และวันนี้ทีมงาน เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง มีโอกาสได้ทดลองขับเจ้า “ปอร์เช่ พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด สปอร์ต ทัวริสโม่” (Panamera 4 e-Hybrid Sport Turismo) เชิญชมกันได้ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง

หรูหรา สปอร์ตขึ้น

รูปร่างภายนอกของพานาเมร่า โฉมใหม่นั้น จะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ 4 ประตู fastback saloon คือ ท้ายลาด แต่ฝาหลังเปิดได้เต็มบานเช่นกัน และ 5 ประตู estate ท้ายตั้งแบบรถเอนกประสงค์ โดยทำตลาดในชื่อต่อท้ายว่า Sport Turismo เช่นเดียวกับคันที่เราได้มาขับนั่นเอง ด้วยคุณสมบัติของความเป็น 5 ประตู ทำให้มีพื้นที่ในการเก็บสัมภาระที่มากกว่า รุ่น 4 ประตู อย่างไม่ต้องสงสัย


ดีไซน์ภายนอก ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนรู้สึกว่า สวยและปราดเปรียวขึ้นกว่าโฉมเดิม โดยเฉพาะการใช้ไฟท้ายLED 3 มิติ รูปทรงเดียวกับ 911 ให้ความเป็นสปอร์ตแบบมาเต็ม ส่วนชุดไฟหน้าแบบ LED 4 ลำแสง พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวันด้วย ควบคุมการทำงานโดยอัตโนมัติ

จุดเด่นที่แสดงความเป็นรุ่นไฮบริดจะดูง่ายดายด้วยสีของ คาลิปเปอร์เบรก เป็นสีเขียว สะท้อนแสง โดดเด่นมาแต่ไกล ซึ่งจะแตกต่างจากรุ่นเครื่องยนต์ปกติที่เป็นสีดำ ด้านโครงสร้างตัวถังถือเป็นจุดเด่นที่มองไม่เห็นแต่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ด้วยการใช้วัสดุพิเศษชื่อ Aluminium-steel Hybrid ที่แข็งแรงและมีน้ำหนักเบาทนแรงบิด แรงดึงได้สูงและดีที่สุดชนิดหนึ่งแห่งโลหะศาสตร์ในยุคนี้



การดีไซน์ภายใน นับเป็นไฮไลต์สำคัญของพานาเมร่า โฉมนี้ ด้วยการออกแบบภายใต้แนวคิด 4+1 ที่นั่ง ไม่เพียงแต่เอาใจคนขับ (หากเจ้าของขับเอง) ยังเอาใจคนนั่งทางด้านหลังอย่างไม่น้อยหน้ากัน โดยเฉพาะพื้นที่เหนือศีรษะทางด้านหลังที่มากขึ้น และการเซตอัพเบาะนั่งให้มีทั้งแบบ 3 ที่นั่งหรือแบบ 2 ที่นั่งแยกอิสระเฉพาะตัว ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง


หัวใจมากับเครื่องยนต์ไฮบริด เบนซินขนาด 2.9 ลิตร กำลังสูงสุด 462 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ PDK 8 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ All –wheel drive อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 275 กม./ชม. และมีอัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ย 40 กม./ลิตร

ขับแรงเร้าใจ แต่นั่งสบาย

ในส่วนของการทดลองขับนั้นเราเลือกเส้นทางกรุงเทพฯ – ลพบุรี รวมระยะทางไปกลับร่วม 300 กิโลเมตร ความรู้สึกแรกหลังพวงมาลัย ไม่แตกต่างจากรถสปอร์ตในค่ายปอร์เช่แต่ประการใด ทั้งเรือนไมล์ หน้าจอ แผงคอนโซลและพวงมาลัย รับรู้ได้ถึงความเป็นรถสปอร์ตเต็มพิกัดจริงๆ


การออกตัวขับตามปกติ นุ่มนวลไม่ต่างจากรถซีดานระดับหรูหราที่เป็นเรือธงของค่ายอื่นๆ แต่พานาเมร่าจะแตกต่างทันที เมื่อได้กดคันเร่งแบบคิกดาวน์ อาการดังหลังติดเบาะจะปรากฎให้รับรู้แบบเหวอนิดๆ ซึ่งไม่แนะนำให้กระทำหากท่านเป็นพนักงานขับรถที่มีเจ้านายนั่งอยู่ทางตอนหลัง เพราะท่านอาจจะตกงานได้ง่ายๆ เพียงกดคันเร่งแบบนี้ครั้งเดียว


ความเร็วที่เราใช้ส่วนมาอยู่ราว 100-120 ตามที่กฎหมายกำหนด ไม่รู้สึกว่าเร็ว ตัวรถนิ่ง การป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกทำได้ดีเยี่ยม เสียงลมประทะก็น้อยแม้จะวิ่งด้วยความเร็วสูงถึง 150 กม./ชม. จะมีบ้างในส่วนของเสียงยางบดถนนเนื่องจากเป็นถนนแบบคอนกรีตเส้นพหลโยธินนั่นเอง

การทรงตัวเป็นสิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจที่สุดโดยเฉพาะผู้โดยสารทางตอนหลัง ที่หลับสบายตลอดการเดินทางครั้งนี้ ส่วนผู้เขียนรับหน้าที่ในการขับตลอดทริป ต้องขอบคุณช่วงล่างระบบถุงลมที่สามารถดูดซับแรงกระแทกกระเทือนจากพื้นถนนได้เป็นอย่างดี โดยมีโหมดให้เลือกปรับได้ 3 รูปแบบ normal, sport. Sport plus โดยเราใช้โหมด normal ส่วนอีก 2 โหมดได้ทดลองใช้ การทรงตัวที่ความเร็วสูงจะดีขึ้น แต่จะแลกมาด้วยแรงสะเทือนที่มากกว่าด้วยเช่นกัน



ความเร็วสูงสุด เท่าที่ถนนและความปลอดภัยจะเอื้ออำนวยเราลองแตะได้ถึง 190 กม./ชม. ช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะตามด้วยการทดลองเบรกแบบหนักหน่วง พบว่ารถไม่เสียอาการแต่อย่างใด ทรงตัวและเกาะถนนดีมาก ไม่เสียชื่อปอร์เช่ ระบบเสริมความปลอดภัยที่ใส่มาอย่างเต็มพิกัดนั้นได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมราคา โดยเฉพาะระบบ 4D Chassis Control ที่เชื่อมโยงทุกการทำงานเข้าด้วยกัน พร้อมควบคุมการทรงตัว (PASM) ที่เราประทับใจที่สุด

เหมาะกับใคร

ด้วยสนนราคาค่าตัว 9.5 ล้านบาท ต้องเป็นระดับมหาเศรษฐีที่ชื่นชอบความแตกต่าง ไม่อยากเหมือนใคร และที่สำคัญคือ รักความแรง แต่ก็ชื่นชอบความสบาย อีกทั้งยังได้ความประหยัดจากระบบไฮบริดแบบปลั๊กอินที่เสียบชาร์จได้ ราคาระดับนี้แนะนำ ซื้อกับตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการจะดีกว่า เพราะได้รถที่เป็นสเปคพร้อมการรับประกันเต็มรูปแบบอย่างถูกต้องจาก ปอร์เช่ ประเทศไทยด้วย
















<iframe src="https://www.facebook.com/plugins/video.php?href=https%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2FMGRMotoring%2Fvideos%2F939514242896479%2F&show_text=0&width=560" width="560" height="315" style="border:none;overflow:hidden" scrolling="no" frameborder="0" allowTransparency="true" allowFullScreen="true"></iframe>


กำลังโหลดความคิดเห็น