ย้อนอ่านบทสัมภาษณ์เพื่อทำความรู้จักและใกล้กับเธอมากขึ้นสำหรับนักบิดสาวแกร่งหนึ่งเดียวของไทย“มุกข์-มุกข์ลดาสารพืช” สังกัดทีมแข่งเอ.พี.ฮอนด้าเรซซิ่ง ไทยแลนด์ หลังจากวานนี้(4มี.ค.)เธอได้สร้างความสุขให้กับแฟนๆมอเตอร์สปอร์ตทั่วประเทศด้วยการระเบิดฟอร์มสุดยอดผงาดคว้าแชมป์ในศึกดวลความเร็วแห่งทวีปเอเชียได้สำเร็จบนสังเวียนโฮมเรซช้างฯเซอร์กิต จ.บุรีรัมย์
-มุกข์เคยบอกว่าเริ่มต้นชีวิตนักแข่งตั้งแต่ช่วงประมาณ 10 ขวบ ช่วยเล่าที่มาที่ไปตอนนั้นให้ฟังหน่อยได้ไหม
หนูเริ่มต้นมากับนาโนไบค์หรือรถไฟฟ้า โดยทางครอบครัวไม่เกี่ยวข้องกับวงการนี้เลย เมื่ออายุประมาณ 10 ขวบ ช่วงป.5-6 ในกลุ่มก็มีแต่เพื่อนผู้ชาย ตอนนั้นหนูยังนั่งดีดลูกแก้วเล่นอยู่เลย แต่วันหนึ่งอยู่ดีๆ มีเพื่อนมาชวนไปขี่นาโนไบค์ เขาก็ไม่ได้คิดว่าเราจะมาถึงตรงนี้ได้นะ เขาแค่มาชวนไปเล่นสนุกๆ
ตอนนั้นบุคลิกหนูก็จะห้าวๆ หน่อย พอไปเล่น ทางเจ้าของร้านเขาเห็นว่าเราเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ไปเล่นกับพวกผู้ชาย เขาก็เลยชวนไปแข่ง บอกว่าไปลองดูมั้ย เขาออกค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่าง เราไม่ต้องเสียอะไรเลย ทั้งที่ตอนนั้นหนูก็ขี่ยังไม่เป็นนะ ชนบ้าง ล้มบ้าง แต่เขาเห็นว่าเรากล้าไปเล่น ซึ่งเราเองก็งงมาก ไปขี่ครั้งแรกก็มาชวนหนูไปแข่ง แถมบอกให้ไปซ้อม เล่นฟรีได้เลย ตอนนั้นก็กลัวๆ ตอบไปว่าขอกลับไปถามแม่ก่อนแล้วกันค่ะ แต่เอาจริงๆ ก็ไม่ได้บอกที่บ้านนะ เพราะคิดว่าคงไม่ได้จริงจังอะไร ก็มีไปเล่นอีกเรื่อยๆ แต่พอเราจะจ่ายเงิน เขาบอกไม่ต้อง ให้ลงไปขี่ได้เลย กี่รอบก็ได้ จนกว่าแบตจะหมดเลยก็ได้ ทีนี้พอไปบ่อยเข้า เขาก็ชวนแบบจริงจังแล้วว่า ให้เราไปขอพ่อขอแม่มา เขายินดีที่จะสนับสนุนเรา เราก็เห็นว่าไม่เสียหายอะไร ก็เลยตัดสินใจไป ไปสนามแรกไม่ได้บอกแม่ แอบไปกับเขาเลย
-ตอนนั้นคิดอะไรอยู่
คิดว่าแค่สนุกๆ ไปลองแข่งดู และเขาบอกว่ามีเงินรางวัลด้วยนะ เราก็หวังอยากได้เงิน ตอนนั้นยังเด็กมากๆ ก็ไม่ได้คิดอะไร ไปครั้งแรกก็เข้าที่ 4 งงตัวเองมาก ขี่ก็ไม่เป็น ทักษะก็ไม่มี ช่วงไปเล่นไปซ้อม ก็ไม่มีคนสอน แค่ขี่วนตามทางที่เขาเอายางมาตั้งไว้ ตอนแข่งก็ไม่รู้อะไรเลย รู้แต่ต้องขี่เร็วๆ พอจะเข้าโค้งก็เบรก รู้แค่นั้นจริงๆ พอไปถึงชนกระจายเลย(หัวเราะ)
โชคดีที่รายการนี้เขาอยากให้เด็กๆ ได้รางวัลได้ถ้วยกลับบ้านทุกคน เราได้ที่ 4 ก็เลยได้ขึ้นโพเดี้ยมและเป็นโพเดี้ยมแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นของหนู ตอนนั้นได้เงินรางวัล 700 บาทกลับบ้านด้วย ดีใจมากๆ
พอกลับมาบ้าน แม่ถามว่าไปไหนมา เราก็บอกไปเล่นเหมือนปกติทุกครั้ง ไปเที่ยวห้างฯ บ้าง เดินเล่นบ้าง จนมารู้ความจริงหลังจากการแข่งครั้งแรกเป็นเดือน เพราะหนูหายไปบ่อยมาก เขาให้ไปซ้อมรถทุกวัน จนสุดท้ายแม่รู้ความจริงและตามไปดูถึงที่ พอไปเห็นแรกๆ เขาก็ไม่อยากให้เราขี่ เพราะคิดว่าอันตราย แต่พอเห็นอุปกรณ์ มีชุด มีหมวก และหนูเองก็ขอขี่ต่อด้วย เขาก็ใจอ่อนบอกว่าตามใจแล้วกัน อนุญาตให้ไปซ้อม ไปแข่ง แต่อย่าโดดเรียนไปเท่านั้นพอ
-เพราะอะไรถึงเริ่มจริงจังกับการแข่งมอเตอร์ไซค์มากขึ้น ช่วงนั้นมีเล่นกีฬาชนิดอื่นบ้างไหม
มุกข์เป็นนักกีฬาของโรงเรียนนะในเขตจังหวัดปทุมธานี แข่งวิ่งกับปิงปอง เราชอบเล่นกีฬาอยู่แล้ว วิชาพละจะชอบมาก เคยไปแข่งขันระดับจังหวัดด้วย ถ้าถามว่าโอกาสเอาดีทางด้านนี้ก็น่าจะมีนะ ได้เหรียญทองหลายครั้งแล้วด้วย กีฬาที่แบ่งชายหญิงโอกาสชนะก็มีมากกว่า และหนูเองก็รักการวิ่งมาก แต่ที่มาเลือกจริงจังกับมอเตอร์ไซค์ ไม่รู้อะไรมาดลใจเหมือนกัน เหมือนมีใครสักคนกำหนดให้เรามาทำอย่างนี้ สุดท้ายก็ลองเลือก ผิดก็ไม่เป็นไร และตอนนี้ก็คิดถูกแล้วที่เลือกมาทางนี้
-จากแข่งรถไฟฟ้ามาสู่การแข่งรถที่ใช้เครื่องยนต์ได้ยังไง
ตอนขี่นาโนไบค์ก็คว้าแชมป์ได้ถ้วยรางวัลเรื่อยมา จนเมื่อเราโตขึ้นก็ต้องขยับรุ่น เริ่มมาจับรถมีเครื่องยนต์ครั้งแรก ประมาณ ม.3 และยังเป็นทีมนาโนไบค์ที่สนับสนุนเรามาโดยตลอด ต้องขอขอบคุณเจ้าของร้านนาโนไบค์มากๆ ผ่านตรงนี้ด้วยค่ะ จากเด็กโกโรโกโสคนหนึ่งมาถึงตรงนี้ได้ ถ้าไม่มีบุคคลท่านนั้นก็คงไม่มีเราในวันนี้ อย่างที่บอกว่าพอเราโตขึ้นก็อยากจะพัฒนาตัวเองต่อ ทีนี้จึงขอเขาออกจากทีมมาเรียนฮอนด้าเรซซิ่งสคูล และมีโอกาสขยับมาแข่งในรุ่นอื่นๆ ซึ่งก็มีได้แชมป์บ้างพลาดบ้างก็เก็บประสบการณ์มาตลอด แต่ยังไงก็ต้องถือว่าเป็นช่วงพัฒนาทักษะอย่างแท้จริง เรียกว่าเราเติบโตขึ้นมาจากฮอนด้าเรซซิ่งสคูลก็ว่าได้
ถ้าถามว่าเป็นนักแข่งอยู่แล้ว ทำไมยังต้องไปเรียนอีก เพราะมันต่างกันค่ะ จากที่เราเรียนผิดเรียนถูกเอง เทียบกับการมาเรียนหลักการที่ถูกต้อง บอกเลยว่ายากมาก อีกอย่างเรามีแต่ทักษะของรถเล็ก พอมาเจอของจริงทำไมมันหนักจัง เลี้ยวทีก็จะล้ม แต่พอมาขี่บ่อยๆ ก็เริ่มชิน และใช้ประสบการณ์จากนาโนไบค์มาเสริมด้วย ทีนี้ก็เลยรู้สึกสนุก ยิ่งพอขยับรุ่นมาขี่รถมีคลัทช์ ยิ่งสนุกคนละแบบ มันมีรายละเอียดที่ต่างกันออกไป
-ในด้านสรีระร่างกาย เมื่อขยับมาแข่งรถที่ใหญ่ขึ้น เริ่มรู้สึกถึงการเสียเปรียบผู้ชายบ้างหรือยัง
กีฬาแข่งรถจักรยานยนต์ไม่มีแบ่งการแข่งขันหรือรุ่นตามเพศ ทุกคนต้องการชัยชนะ ต้องการติดโพเดี้ยม ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน แค่ต่างกันที่เราเป็นผู้หญิงและอาจทำให้คนอื่นให้ความสนใจเท่านั้นเอง โดยมุกข์ก็ไม่ค่อยออกกำลังกายนะ มีแต่วิ่ง อย่างที่บอกว่าเป็นนักวิ่งและรักการวิ่งมากๆ ซึ่งมันช่วยเรื่องของระบบการหายใจ แต่พอแข่งๆ ไป เริ่มรู้สึกว่าทำไมคู่แข่งเขาแข็งแรงจัง เราก็เริ่มศึกษาการเล่นเวท เข้าฟิตเนสทุกวัน จากที่เคยผอมๆ แห้งๆ น้ำหนักก็เริ่มขึ้น กล้ามเนื้อก็เริ่มมีบ้าง หากนับการออกกำลังกายจริงจังก็คือหลังจากมาร่วมทีมกับทางเอพีฮอนด้า เพราะเริ่มเข้าสู่การเป็นนักกีฬาอาชีพอย่างเต็มตัวแล้ว
จริงๆ หนูไม่ชอบการเล่นเวทเท่าไหร่ แต่เมื่อเขาให้การสนับสนุนเราเต็มที่ก็หวังผลงานที่ดี ดังนั้นเราก็ต้องตอบแทนด้วยความทุ่มเทเต็มที่เช่นกัน อะไรที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงได้ ทำหมด เข้าฟิตเนสทุกวัน อย่างต่ำวันละหนึ่งชั่วโมง ส่วนการวิ่งก็เปลี่ยนจากกลางแจ้งมาวิ่งบนเครื่องวิ่งแทน
-มีใครเป็นฮีโร่นักแข่งที่ยึดเป็นแบบอย่างบ้างไหม
มีค่ะ ตอนแรกก็ชอบนักแข่งต่างชาติ แต่พอได้ใกล้ชิดได้ร่วมงานกับนักแข่งไทยอย่าง พี่ฟิล์ม(รัฐภาคย์ วิไลโรจน์) เรารู้เลยว่าความยากลำบากกว่าจะมาถึงจุดที่พี่เขายืน มันไม่ง่ายเลย กว่าจะเป็นนักแข่งโมโตทูได้ มันต้องเจอต้องผ่านอะไรมาหลายๆ อย่าง กว่าจะเป็นเขาได้ในวันนี้ หนูคิดว่าสุดยอดมากค่ะ และหวังว่าเราจะเป็นแบบพี่เขาให้ได้
ทุกคนคิดว่าการเป็นนักแข่งต้องมีคนคอยดูแล จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย กว่าจะไต่เต้าขึ้นไปได้ ทุกคนต้องเดินทางไปแข่งเองตัวคนเดียว แรกๆ หนูก็กลัวนะ แต่พอนึกถึงนักแข่งดังๆ ที่กว่าเขาจะมาถึงตรงนี้ได้ เขาก็เคยผ่านอะไรพวกนี้มาแล้ว ดังนั้นเราเองก็ต้องทำให้ได้เหมือนกัน โดยเฉพาะการสื่อสารที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ เราอาจจะไม่เข้าใจลึกซึ้งอย่างพวกศัพท์ทางเทคนิค แต่เราก็พยายามใช้ความรู้สึกอธิบายให้ทีมช่างเข้าใจเพื่อปรับแก้ไขในจุดที่ยังมีปัญหา เทียบกับปีก่อนตอนนี้ใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องขึ้นมาก เพราะมีการเตรียมตัวเรียนเพิ่มเติมด้วย เราไปถึงจุดนี้แล้วมีความสามารถด้านการขี่รถอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องมีความรู้รอบตัวอื่นๆ ประกอบด้วย ซึ่งก็เป็นอีกสิ่งที่ดีสำหรับตัวเราเองอยู่แล้ว
-ชีวิตนักแข่งรถจักรยานยนต์ให้อะไรกับเราบ้าง
สิ่งที่ได้จากการเป็นนักแข่งมีเยอะมาก จากเด็กที่ไม่มีอะไรเลย ตอนนี้ก็มีคนรู้จักมากขึ้น ปีนี้อายุ 22 ย่าง 23 แล้ว สามารถช่วยดูแลแบ่งเบาภาระที่บ้านได้ อย่างน้องชายตอนนี้เราเป็นคนดูแลค่าใช้จ่ายเรื่องเรียน คุณยายก็เป็นพยาบาลที่เกษียณแล้ว เราก็ให้เงินเดือนท่าน แม้จะไม่มาก แต่ก็พอใช้จ่ายแน่นอน พอเราได้แชมป์มาก็มีผลตอบรับที่ดี เราก็นำเงินไปเปิดร้านขายของชำให้น้องชายเป็นคนดูแลด้วย สิ่งที่หนูได้มาสามารถทำให้ครอบครัวมีความสุข หนูว่าสิ่งนี้ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วที่มุกข์จะตอบแทนให้กับที่บ้านได้
-เบอร์แข่งที่ใช้มีความหมายอะไรพิเศษหรือเปล่า
เคยใช้มาหลายเบอร์นะคะ 42 43 37 แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งเราไปถามแม่ว่าอายุเท่าไหร่ ปีนี้ 44 ก็เลยลองใช้ดู ใช้ครั้งแรกปีนั้นได้แชมป์เลย คราวนี้ก็เลยใช้เรื่อยมาตลอด ยึดเป็นเลขนำโชคประจำตัว แม้จะมีคนทักว่าเลขสี่ไม่ดี แต่เราว่าดีสำหรับเราก็พอแล้ว(ยิ้ม)
-มีอะไรฝากถึงคนที่ต้องการเข้าสู่อาชีพนักแข่งบ้างไหม
มีหลายคนเลยค่ะ ที่เข้ามาถามทางเฟสบุ๊คมุกข์ว่า อยากเป็นนักแข่งต้องทำยังไงหรือเริ่มต้นยังไง มุกข์จะตอบทุกคนเลยว่าให้เข้ามาเรียนกับฮอนด้าเรซซิ่งสคูล เพราะเขามีเปิดสอนตลอด ถ้าชอบถ้ารักกีฬาชนิดนี้จริงๆ อยากให้ลองเข้ามาเรียนดูก่อน เผื่อจะมีโอกาสได้พัฒนาและเป็นนักแข่งของฮอนด้า ถ้ามีคนมองเห็นความตั้งใจและมีฝีมือ รับรองว่าไม่ยาก ซึ่งตัวมุกข์เองพิสูจน์แล้วว่า คนที่มาจากศูนย์ก็สามารถทำตามความฝันได้จริงค่ะ
หมายเหตุ-บทสัมภาษณ์เรียบเรียงใหม่ จากบทความ “มุกข์ลดา สารพืช” นักบิดหญิงแชมป์เอเชีย ผู้สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยที่คนไทย(ส่วนใหญ่)ยังไม่รู้จัก วันที่ 23 มิถุนายน 2559
คลิ๊กอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง กระหึ่มโฮมเรซ “มุกข์#44” นักบิดสาวแกร่งคว้าแชมป์ศึกเอเชียฯ