หลังลุ่มดอนๆโงนเงนอยู่พักใหญ่ แบรนด์ “ซีตรอง” ในประเทศไทยก็ปรับโครงสร้างทางธุรกิจใหม่อีกครั้ง โดยเปลี่ยนมือบริษัทผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายจากกลุ่ม “ดีเอดี ยนตรกิจ” ของ “วิเชียร ลีนุตพงษ์” มาสู่กลุ่ม “ยนตรกิจ ออโตโมบิลล์” ของ “พลกฤษณ์ ลีนุตพงษ์” ที่ดูแลแบรนด์เปอโยต์มานานกว่า 40 ปี
ทั้งนี้ เปอโยต์และซีตรอง เป็นบริษัทรถยนต์จากฝรั่งเศสดำเนินธุรกิจภายใต้กลุ่มพีเอสเอ (PSA) แต่สำหรับประเทศไทยสองแบรนด์นี้แยกการทำตลาดมานาน และชัดเจนยิ่งขึ้นหลังการปรับโครงสร้างทางธุรกิจครั้งใหญ่ของตระกูลลีนุตพงษ์
โดยพี่ใหญ่อย่าง “วิเชียร ลีนุตพงษ์” ที่ได้สิทธิ์ดูแลตลาด ซีตรอง สโกด้า เซียท เอ็มทีเอ็ม สปายเกอร์ รวมถึงรถจีนอย่าง “เดวา” ซึ่งในช่วงหลังได้ชะลอการทำตลาดรถยนต์ “ซีตรอง” ทั้งยังไม่มีความชัดเจนเรื่องบริการหลังการขายจนลูกค้าชาวไทยสับสน ซึ่งจะว่าไปก็มีสัญญาณถอยทัพมาล่วงหน้าจากการขายที่ดินทั้ง 10 ไร่ ย่านคลองตัน เขตสวนหลวง โดยด้านหน้าเป็นที่ตั้งโชว์รูมใหญ่ของซีตรอง ถูกรวบขายให้กับบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท ไปทำคอนโดเรียบร้อยแล้ว(กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้าง)
สุดท้ายเป็นไปตามคาด เมื่อ“ดีเอดี ยนตรกิจ” ตัดสินใจแยกทางกับซีตรอง และบริษัทแม่ที่ฝรั่งเศสจึงถือโอกาสมอบสิทธิ์การดูแลตลาด อันหมายรวมถึงการขายและบริการหลังการขายให้กับ“พลกฤษณ์ ลีนุตพงษ์” (มีศักดิ์เป็นน้องของวิเชียร) พร้อมตั้งบริษัท ยูโรเปียน มอเตอร์คาร์ จำกัด มาดูแลกิจการ โดยมีลูกชาย “กิจจาทร ลีนุตพงษ์” เป็นหัวแรงหลัก
“บริษัทแม่ที่ฝรั่งเศส เห็นประโยชน์จากการปรับโครงสร้างใหม่ ที่ให้ทั้งเปอโยต์และซีตรองมาอยู่ร่วมกัน เพราะจะง่ายทั้งการบริการจัดการ การดูแลลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่การสื่อสารไปสู่ลูกค้าจะใช้ชื่อบริษัทว่า เปอโยต์-ซีตรอง ประเทศไทย” กิจจาทร ลีนุตพงษ์ ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายบริการหลังการขาย ยูโรเปี้ยน มอเตอร์คาร์ กล่าวและว่า
ปัจจุบันรถยนต์ซีตรองในตลาดประเทศไทยมีประมาณ 1,200 - 1,500 คัน เป็นผู้ใช้ที่อยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพคิดเป็นจำนวน 60 - 70% โดยบริษัทจะเริ่มจากการดูแลบริการหลังการขายก่อน ลูกค้าสามารถนำรถยนต์ซีตรองมาเข้ารับบริการได้ที่ศูนย์ของเปอโยต์ 4 แห่งคือ สุขาภิบาล 3 (ถนนรามคำแหง) ที่พร้อมให้บริการตั้งแต่วันนี้ สาขาทองหล่อ (ซอยสุขุมวิท 55) จะพร้อมบริการอย่างเต็มรูปแบบในไตรมาส 3 ส่วนสาขาหาดใหญ่และสาขาเชียงใหม่จะพร้อมปลายปีนี้
ขณะที่แผนงานด้านการขายบริษัทจะต้องปรับปรุงโชว์รูมเปอโยต์ ทั้ง 4 แห่งให้รองรับรถยนต์ทั้งสองแบรนด์ ภายใต้คอนเซปต์ Bi Marque ซึ่งมีการแบ่งพื้นที่ขายอย่างชัดเจน รวมถึงเพิ่มจำนวนช่องซ่อม และการอบรมพนักงานที่ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท และในอนาคตยังมีแผนเพิ่มโชว์รูมศูนย์บริการแห่งใหม่ที่ถนนพระราม2อีกด้วย
“เมื่อบริการหลังการขายลงตัว มีข้อมูลลูกค้าที่ชัดเจน เราจะเริ่มเปิดตัวซีตรองรุ่นใหม่ในช่วงปี 2560-2561 โดยรถยนต์รุ่นแรกที่เตรียมนำเข้ามาทำตลาดคือ ครอสโอเวอร์รุ่น “ซี4 แคคตุส” (C4 Cactus)”
นายกิจจาทร กล่าว่า การทำตลาดรถยนต์ทั้งสองแบรนด์จะมีความชัดเจนไม่ทับซ้อนกัน โดยซีตรองจะเน้นรถแบบแฟชันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ส่วนเปอโยต์จะเป็นเก๋ง เอสยูวี และรถตู้ เน้นการใช้งาน ขณะเดียวกันบริษัทยังมีแผนทำตลาดแบรนด์หรู “ดีเอส” (DS) ที่ต่อยอดออกมาจากซีตรอง แต่คงต้องรอให้ถึงจังหวะการเปลี่ยนโมเดลใหม่เสียก่อน(คาดว่าอีก 1-2 ปี)
ในส่วนธุรกิจเปอโยต์ บริษัทยังเดินหน้าลุยเต็มที่และเตรียมออกงาน “บิ๊ก มอเตอร์เซลล์ 2016” ที่ไบเทค บางนา เดือนสิงหาคมนี้ พร้อมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่คือ 308 SW รถอเนกประสงค์แบบสเตชันแวกอน เครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร เทอร์โบ คาดว่าราคาขายประมาณสองล้านกว่าบาท
โดย 308 SW จะเข้ามาเสริมทัพกับรถยนต์ในปัจจุบันที่ขายอยู่ 3 รุ่น คือ รถตู้ “เอ็กซ์เพิร์ต” (Expert), 408 และ3008 พร้อมตั้งเป้ายอดขายรวมในปีนี้ไว้ไม่น้อยกว่า 150 คัน
ทั้งนี้ เปอโยต์และซีตรอง เป็นบริษัทรถยนต์จากฝรั่งเศสดำเนินธุรกิจภายใต้กลุ่มพีเอสเอ (PSA) แต่สำหรับประเทศไทยสองแบรนด์นี้แยกการทำตลาดมานาน และชัดเจนยิ่งขึ้นหลังการปรับโครงสร้างทางธุรกิจครั้งใหญ่ของตระกูลลีนุตพงษ์
โดยพี่ใหญ่อย่าง “วิเชียร ลีนุตพงษ์” ที่ได้สิทธิ์ดูแลตลาด ซีตรอง สโกด้า เซียท เอ็มทีเอ็ม สปายเกอร์ รวมถึงรถจีนอย่าง “เดวา” ซึ่งในช่วงหลังได้ชะลอการทำตลาดรถยนต์ “ซีตรอง” ทั้งยังไม่มีความชัดเจนเรื่องบริการหลังการขายจนลูกค้าชาวไทยสับสน ซึ่งจะว่าไปก็มีสัญญาณถอยทัพมาล่วงหน้าจากการขายที่ดินทั้ง 10 ไร่ ย่านคลองตัน เขตสวนหลวง โดยด้านหน้าเป็นที่ตั้งโชว์รูมใหญ่ของซีตรอง ถูกรวบขายให้กับบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท ไปทำคอนโดเรียบร้อยแล้ว(กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้าง)
สุดท้ายเป็นไปตามคาด เมื่อ“ดีเอดี ยนตรกิจ” ตัดสินใจแยกทางกับซีตรอง และบริษัทแม่ที่ฝรั่งเศสจึงถือโอกาสมอบสิทธิ์การดูแลตลาด อันหมายรวมถึงการขายและบริการหลังการขายให้กับ“พลกฤษณ์ ลีนุตพงษ์” (มีศักดิ์เป็นน้องของวิเชียร) พร้อมตั้งบริษัท ยูโรเปียน มอเตอร์คาร์ จำกัด มาดูแลกิจการ โดยมีลูกชาย “กิจจาทร ลีนุตพงษ์” เป็นหัวแรงหลัก
“บริษัทแม่ที่ฝรั่งเศส เห็นประโยชน์จากการปรับโครงสร้างใหม่ ที่ให้ทั้งเปอโยต์และซีตรองมาอยู่ร่วมกัน เพราะจะง่ายทั้งการบริการจัดการ การดูแลลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่การสื่อสารไปสู่ลูกค้าจะใช้ชื่อบริษัทว่า เปอโยต์-ซีตรอง ประเทศไทย” กิจจาทร ลีนุตพงษ์ ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายบริการหลังการขาย ยูโรเปี้ยน มอเตอร์คาร์ กล่าวและว่า
ปัจจุบันรถยนต์ซีตรองในตลาดประเทศไทยมีประมาณ 1,200 - 1,500 คัน เป็นผู้ใช้ที่อยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพคิดเป็นจำนวน 60 - 70% โดยบริษัทจะเริ่มจากการดูแลบริการหลังการขายก่อน ลูกค้าสามารถนำรถยนต์ซีตรองมาเข้ารับบริการได้ที่ศูนย์ของเปอโยต์ 4 แห่งคือ สุขาภิบาล 3 (ถนนรามคำแหง) ที่พร้อมให้บริการตั้งแต่วันนี้ สาขาทองหล่อ (ซอยสุขุมวิท 55) จะพร้อมบริการอย่างเต็มรูปแบบในไตรมาส 3 ส่วนสาขาหาดใหญ่และสาขาเชียงใหม่จะพร้อมปลายปีนี้
ขณะที่แผนงานด้านการขายบริษัทจะต้องปรับปรุงโชว์รูมเปอโยต์ ทั้ง 4 แห่งให้รองรับรถยนต์ทั้งสองแบรนด์ ภายใต้คอนเซปต์ Bi Marque ซึ่งมีการแบ่งพื้นที่ขายอย่างชัดเจน รวมถึงเพิ่มจำนวนช่องซ่อม และการอบรมพนักงานที่ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท และในอนาคตยังมีแผนเพิ่มโชว์รูมศูนย์บริการแห่งใหม่ที่ถนนพระราม2อีกด้วย
“เมื่อบริการหลังการขายลงตัว มีข้อมูลลูกค้าที่ชัดเจน เราจะเริ่มเปิดตัวซีตรองรุ่นใหม่ในช่วงปี 2560-2561 โดยรถยนต์รุ่นแรกที่เตรียมนำเข้ามาทำตลาดคือ ครอสโอเวอร์รุ่น “ซี4 แคคตุส” (C4 Cactus)”
นายกิจจาทร กล่าว่า การทำตลาดรถยนต์ทั้งสองแบรนด์จะมีความชัดเจนไม่ทับซ้อนกัน โดยซีตรองจะเน้นรถแบบแฟชันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ส่วนเปอโยต์จะเป็นเก๋ง เอสยูวี และรถตู้ เน้นการใช้งาน ขณะเดียวกันบริษัทยังมีแผนทำตลาดแบรนด์หรู “ดีเอส” (DS) ที่ต่อยอดออกมาจากซีตรอง แต่คงต้องรอให้ถึงจังหวะการเปลี่ยนโมเดลใหม่เสียก่อน(คาดว่าอีก 1-2 ปี)
ในส่วนธุรกิจเปอโยต์ บริษัทยังเดินหน้าลุยเต็มที่และเตรียมออกงาน “บิ๊ก มอเตอร์เซลล์ 2016” ที่ไบเทค บางนา เดือนสิงหาคมนี้ พร้อมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่คือ 308 SW รถอเนกประสงค์แบบสเตชันแวกอน เครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร เทอร์โบ คาดว่าราคาขายประมาณสองล้านกว่าบาท
โดย 308 SW จะเข้ามาเสริมทัพกับรถยนต์ในปัจจุบันที่ขายอยู่ 3 รุ่น คือ รถตู้ “เอ็กซ์เพิร์ต” (Expert), 408 และ3008 พร้อมตั้งเป้ายอดขายรวมในปีนี้ไว้ไม่น้อยกว่า 150 คัน