แม้ว่าบ้านเราจะยุติการทำตลาดไปตั้งแต่รุ่นแรก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า Opel จะยุติบทบาทของ Zafira รถยนต์อเนกประสงค์ขนาดคอมแพ็กต์ของตัวเอง และล่าสุดได้เปิดตัว MY2017 ออกมา แต่ช้าก่อน มันยังไม่ใช่การเปลี่ยนโฉม หรือโมเดลเชนจ์นะ เป็นแค่การปรับโฉม หรือไมเนอร์เชนจ์เท่านั้น แถมยังเป็นไมเนอร์เชนจ์ที่ต้องรอกันนานเอาเรื่อง

เหตุที่ต้องรอกันนานก็เพราะเป็นการปรับโฉมจาก Zafira รุ่นที่ 3 หรือ Zafira C ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2011 ซึ่งถูกเรียกในอีกชื่อว่า Zafira Tourer ถึงจะเป็นการปรับโฉมเท่านั้น แต่ก็เป็นบิ๊กไมเนอร์เชนจ์ เพราะว่าตัวรถมีการปรับเปลี่ยนรอบคัน ทั้งภายนอกและภายใน ชนิดที่ถ้าไม่เอามาเปรียบเทียบแล้ว คงจะคิดว่าเป็นคันใหม่อย่างแน่นอน
ตัวถังด้านหน้าและด้านท้ายมีการเปลี่ยนรูปแบบใหม่หมดทั้งไฟหน้า ไฟท้าย กระจังหน้า รวมถึงกันชนหน้าและหลัง อีกทั้งยังเสริมด้วยขอบคิ้วโครเมียมบนแถบกรอบกระจกหน้าต่างรอบคัน โดยที่โครงสร้างตัวถังหลักยังเป็นแบบเดิมของ Zafira Tourer ส่วนภายในเปลี่ยนทั้งเบาะนั่งและชุดมาตรวัดใหม่ เพิ่มความสวยสปอร์ตขึ้น เช่นเดียวกับการติดตั้งระบบใหม่ๆ เข้าไป เช่น Apple CarPlay และ Android Auto

ความอเนกประสงค์ยังเหมือนเดิม ตัวรถรองรับกับความจุในระดับ 710 ลิตร และสามารถเพิ่มเป็น 1,860 ลิตรเมื่อพับเบาะแถวที่ 2 ลงทั้งหมด ส่วนถ้าเน้นการบรรทุกคน Zafira ก็ยังรองรับกับความต้องการตรงนี้ได้ด้วยเบาะนั่งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง
ในด้านรายละเอียดของเครื่องยนต์ที่จะวางขายยังไม่ได้เปิดเผยออกมาว่าจะมีการปรับปรุงจากรุ่นเดิมหรือไม่ ซึ่งปกติมีทั้งเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบดีเซล และพลังงานทางเลือกอย่าง LPG/CNG
สำหรับการทำตลาดจะมีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ที่ยุโรป ผ่านทั้งแบรนด์ Opel และ Vauxhall





เหตุที่ต้องรอกันนานก็เพราะเป็นการปรับโฉมจาก Zafira รุ่นที่ 3 หรือ Zafira C ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2011 ซึ่งถูกเรียกในอีกชื่อว่า Zafira Tourer ถึงจะเป็นการปรับโฉมเท่านั้น แต่ก็เป็นบิ๊กไมเนอร์เชนจ์ เพราะว่าตัวรถมีการปรับเปลี่ยนรอบคัน ทั้งภายนอกและภายใน ชนิดที่ถ้าไม่เอามาเปรียบเทียบแล้ว คงจะคิดว่าเป็นคันใหม่อย่างแน่นอน
ตัวถังด้านหน้าและด้านท้ายมีการเปลี่ยนรูปแบบใหม่หมดทั้งไฟหน้า ไฟท้าย กระจังหน้า รวมถึงกันชนหน้าและหลัง อีกทั้งยังเสริมด้วยขอบคิ้วโครเมียมบนแถบกรอบกระจกหน้าต่างรอบคัน โดยที่โครงสร้างตัวถังหลักยังเป็นแบบเดิมของ Zafira Tourer ส่วนภายในเปลี่ยนทั้งเบาะนั่งและชุดมาตรวัดใหม่ เพิ่มความสวยสปอร์ตขึ้น เช่นเดียวกับการติดตั้งระบบใหม่ๆ เข้าไป เช่น Apple CarPlay และ Android Auto
ความอเนกประสงค์ยังเหมือนเดิม ตัวรถรองรับกับความจุในระดับ 710 ลิตร และสามารถเพิ่มเป็น 1,860 ลิตรเมื่อพับเบาะแถวที่ 2 ลงทั้งหมด ส่วนถ้าเน้นการบรรทุกคน Zafira ก็ยังรองรับกับความต้องการตรงนี้ได้ด้วยเบาะนั่งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง
ในด้านรายละเอียดของเครื่องยนต์ที่จะวางขายยังไม่ได้เปิดเผยออกมาว่าจะมีการปรับปรุงจากรุ่นเดิมหรือไม่ ซึ่งปกติมีทั้งเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบดีเซล และพลังงานทางเลือกอย่าง LPG/CNG
สำหรับการทำตลาดจะมีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ที่ยุโรป ผ่านทั้งแบรนด์ Opel และ Vauxhall