นับว่าเป็นการจัดกิจกรรมใหญ่ครั้งแรกหลังเข้ามาดูแลการทำตลาดอย่างเป็นทางการ สำหรับงาน “Duke It Weekend” จัดโดยบริษัท เบิร์นรับเบอร์ จำกัด ด้วยการดึงอดีตนักแข่งระดับโมโตจีพี มาเปิดคอร์สเรซซิ่งหลักสูตรรวบรัดบนแทร็กแก่งกระจานเซอร์กิต พ่วงด้วยการเปิดตัวรถใหม่รุ่นพิเศษ KTM 1290 Super Duke R Special Edition ให้บรรดาแฟนๆ แบรนด์สีส้มได้ยลโฉมครั้งแรกในไทยเมื่อไม่นานที่ผ่านมา (คลิ๊กอ่านข่าว KTM 1290 Super Duke R รุ่นพิเศษ เคาะราคา 1,325,000 บาท)
นอกจากประเด็นหลักของการจัดกิจกรรมที่ต้องการสร้างการรับรู้ไปสู่กลุ่มลูกค้าในครั้งนี้ ยังมีอีกสิ่งที่น่าสนใจและเห็นว่าต้องนำมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้งนั่นก็คือ ในช่วงที่กลุ่มผู้สื่อข่าวได้เรียนการขับขี่กับเจเรมี่ แมควิลเลี่ยมส์ (Jeremy McWilliams) โดยใช้รถฝึกสอนซึ่งทางเคทีเอ็มจัดเตรียมไว้ให้สองโมเดล 250 และ 390 เรียกชื่อรุ่นตามขนาดเครื่องยนต์ ซึ่งในโอกาสนี้เองจึงถือว่าได้พิสูจน์สมรรถนะของผลิตภัณฑ์ตระกูล Duke ในสนามแข่งขันไปพร้อมกันด้วย
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะไปถึงบททดสอบ ขอเท้าความเกี่ยวกับการเข้ามาของยี่ห้อรถจักรยานยนต์ชื่อดังจากออสเตรียกันสักเล็กน้อย เพื่อความกระจ่างหากใครที่ไม่ได้ติดตามความเคลื่อนไหวในวงการสองล้อ เพราะหลายคนน่าจะเคยรับทราบว่า ก่อนหน้านี้มีผู้นำเข้าและเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการภายใต้ชื่อ “คุณค่า คอร์ปอเรชั่น” แต่ปัจจุบันย้ำอีกครั้งว่าได้เปลี่ยนมือย้ายสิทธิ์การทำตลาดมาสู่บ้านหลังใหม่ที่เบิร์นรับเบอร์เรียบร้อยแล้ว โดยที่ทั้งสองบริษัทดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด
ขณะที่การดูแลกลุ่มลูกค้าเก่าด้านงานเซอร์วิสต่างๆ ผู้รับช่วงต่อแบรนด์สีส้มในไทยก็ประกาศชัดเจนแล้วว่า สามารถเข้ามาใช้บริการที่แฟลกชิฟสโตร์หรือศูนย์บริการเคทีเอ็มที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตั้งอยู่ที่โครงการ เอ สแควร์ สุขุมวิท 26 ได้ทันที ไม่มีทิ้งกันแน่นอน
กลับมาว่ากันที่การขับขี่ ในครั้งนี้เราได้ลิ้มลองความเร้าใจเฉพาะรุ่น 390 เท่านั้น เนื่องจากด้วยจำนวนรถและกลุ่มผู้เรียนถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม อีกทั้งเคยสัมผัสโมเดลพิกัดนี้ในการทดสอบใช้งานจริงบนท้องถนนไปแล้ว และเพื่อให้ต่อเนื่องกับการขับขี่ในสนาม อยากรู้เหมือนกันว่าจะทำได้ประทับใจขนาดไหน (คลิ๊กอ่านข่าวลองขี่ Duke390 ส้มจี๊ด... สุดเร้าใจ!)
แน่นอนจุดเด่นความเบาของน้ำหนักตัวยังรู้สึกได้ชัดเจน ส่งผลให้การพลิกเลี้ยวทำได้คล่องตัว โดยเฉพาะจังหวะต่อเนื่องในโค้งเอสไปได้ไหลลื่น แต่ในส่วนดีก็มีจุดด้อยตรงที่การออกแบบครอบถังน้ำมันเว้าลึก ทำให้ช่วงหัวเข่าสามารถโอบรัดตัวรถได้กระชับ แต่ขณะโหนรถเพื่อบังคับเลี้ยว พื้นผิวของวัสดุค่อนข้างลื่นพอสมควร ถ้าเกาะไม่ดีอาจมีตกรถได้
โดยนอกเหนือจากความเบายังมีอีกจุดเด่นที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ระบบช่วงล่างกับการขับขี่บนแทร็กสนามแข่งขันให้ผลลัพธ์ที่ออกมาดีเกินคาด ด้วยการใช้โช้กอัพหน้าแบบหัวกลับ ด้านหลังโช้กเดี่ยว ประทับยี่ห้อ WP เหมือนกันทั้งคู่ รวมถึงระบบความปลอดภัยหน้า-หลัง ปั้มเบรก bybre แบรนด์ลูกของ brembo ที่มี ABS ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน และสามารถเลือกใช้งานเปิดหรือปิดได้ด้วย
ด้านขุมพลังเครื่องยนต์ 4 จังหวะ สูบเดียวขนาด 373 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยน้ำ ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด ให้กำลังสูงสุด 43 แรงม้า ที่ 9,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 35 นิวตัน-เมตร ที่ 7,250 รอบต่อนาที แรงสะท้านจากเครื่องยนต์ขณะใช้รอบสูงพอมีให้รู้สึกบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก ขณะที่อัตราเร่งช่วงรีดความเร็วเพื่อส่งตัวออกจากโค้งให้ความมันเร้าใจ แม้ช่วงความเร็วปลายหลังวิ่งผ่านโค้งไฮสปีดไปแล้วจะขึ้นช้าไปหน่อยก็ตาม แต่เมื่อก้มดูตัวเลขที่หน้าจอแตะระดับ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ถือว่าไม่ขี้เหร่แล้ว สำหรับพละกำลังของรถในกลุ่มพิกัดนี้
ปิดท้ายที่รูปร่างหน้าตา ท่านั่ง และอุปกรณ์มาตรฐานติดรถไม่ได้แตกต่างจากที่เคยสัมผัสในโฉมปี 2014 มากเท่าไรนัก ตลอดจนฐานการผลิตของตระกูลผลิตภัณฑ์เคทีเอ็มที่ใช้ขนาดเครื่องยนต์ 125, 200, 250 และ 390 ยังคงอยู่ที่ประเทศอินเดียเช่นเดิม แต่ที่เพิ่มเติมในโฉมปี 2016 มีสลิปเปอร์คลัชต์มาเสริมความนุ่มนวลช่วงเปลี่ยนเกียร์ รวมถึงราคาจำหน่ายที่เปลี่ยนไป จากผู้ทำตลาดเจ้าแรกประเดิมเปิดขาย 339,000 บาท และลดลงเหลือ 239,000 บาท เมื่อเริ่มขยายไลน์ประกอบมาที่ประเทศมาเลเซีย
และล่าสุดเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดพร้อมกับเจาะกลุ่มนักบิดหน้าใหม่ ทางเบิร์นรับเบอร์จึงปรับลดลงเหลือเพียง 199,900 บาท เท่านั้น!
สำหรับความตั้งใจสร้างแบรนด์ของเคทีเอ็มภายใต้ปรัชญา “Ready to Race” ซึ่งประกอบด้วย 4 เสาหลัก คือ Purity, Performance, Adventure และ Extreme แม้มองผิวเผินอาจเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการตลาดที่หยิบยกขึ้นมาเพื่อสร้างจุดขายให้ผลิตภัณฑ์ หากแต่ได้ยินครั้งใดก็กระตุ้นความเร้าใจให้เหล่านักบิดผู้หลงใหลความแรงได้ทุกครั้ง
ขณะเดียวกันการทดลองขี่ Duke390 ที่สนามแก่งกระจาน เซอร์กิต ในกิจกรรมนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า วลีเด็ดดังกล่าวสามารถสัมผัสได้จริง โดยเฉพาะสมรรถนะของระบบช่วงล่างสามารถปฏิบัติหน้าที่ในสนามแข่งขันได้อย่างน่าประทับใจ ซึ่งส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับยาง Pirelli Diablo Rosso II ที่ติดตั้งในรถทดสอบครั้งนี้ด้วย (ยางเดิมติดรถ Metzeler Sportec M5)
เมื่อเทียบกับตัวเลือกอื่นในระดับราคาใกล้เคียงกัน ถ้าวัดกันเฉพาะความพร้อมต่อการตอบสนอง สำหรับการเป็นอาชาคู่ใจที่ใช้งานบนท้องถนนได้คล่องตัว และสามารถดับกระหายความสนุกหรือตื่นเต้นในสนามแข่งขันได้ด้วย
ตัวเลือกสีส้มพิกัด 390 น่าจะเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุดของคนที่ตั้งโจทย์ไว้แบบนี้
***ขอขอบคุณ Alpinestars Thailand สำหรับอุปกรณ์ Riding Gear (www.1goal1visionth.com โทร. 02-000-7885-6)***
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring