สำหรับคนที่มีเท้าขวาหนักเป็นพิเศษ แค่เวอร์ชั่นแรงของ M Power อย่าง M4 อาจจะไม่เพียงพอ คราวนี้คงต้องขยับอันดับขึ้นไปสัมผัสกับความแรงและความสวยเร้าใจที่มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งทาง BMW ก็เตรียมเอาไว้รอท่าแล้ว กับรหัส GTS ของ M4 ที่พกความสวยและความสปอร์ตตามสไตล์รถแข่ง GT แต่สามารถใช้งานบนท้องถนน และเพียบพร้อมด้วยความสะดวกสบาย
GTS เป็นการอัพเกรดหน้าตาและสมรรถนะของตัวรถเพื่อให้เหนือจากรหัส M รุ่นปกติ โดยตรงนี้มีการเสริมหล่อทั้งสปอยเลอร์หลังทรงสูงในแบบ GT ล้อแม็กลายใหม่ขนาด 19 นิ้ว และที่สำคัญ คือ การตั้งเป้าไม่ให้น้ำหนักของตัวรถเกินจาก 1,510 กิโลกรัม เพื่อให้ม้า 1 ตัวรับน้ำหนักแค่ 3 กิโลกรัม ซึ่งน้ำหนักตัวโดยรวมเบากว่า M4 รุ่นปกติอยู่ 80 กิโลกรัม ดังนั้นจึงมีการใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาหลากหลายประเภท เช่น อลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์ รวมถึงการถอดเบาะนั่งหลังออกทั้งชุดด้วย
GTS เป็นการอัพเกรดหน้าตาและสมรรถนะของตัวรถเพื่อให้เหนือจากรหัส M รุ่นปกติ โดยตรงนี้มีการเสริมหล่อทั้งสปอยเลอร์หลังทรงสูงในแบบ GT ล้อแม็กลายใหม่ขนาด 19 นิ้ว และที่สำคัญ คือ การตั้งเป้าไม่ให้น้ำหนักของตัวรถเกินจาก 1,510 กิโลกรัม เพื่อให้ม้า 1 ตัวรับน้ำหนักแค่ 3 กิโลกรัม ซึ่งน้ำหนักตัวโดยรวมเบากว่า M4 รุ่นปกติอยู่ 80 กิโลกรัม ดังนั้นจึงมีการใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาหลากหลายประเภท เช่น อลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์ รวมถึงการถอดเบาะนั่งหลังออกทั้งชุดด้วย
ใครที่สงสัยในด้านความแรงและความเร้าใจของ M4GTS บางครั้งการอธิบายด้วยคำพูดหรือสเป็กอาจจะไม่เห็นภาพ แต่ถ้าวัดจากฝีเท้าที่เกิดขึ้นในสนามที่ถูกใช้เป็นมาตรฐานอย่างสนามฝั่งเหนือของนูร์บูร์กริง หรือ The Green Hell ที่มีระยะทางต่อรอบร่วม 21 กิโลเมตร พร้อมกับเวลาที่ขีดเส้นแบ่งระหว่าง Super Car กับรถบ้านที่ต่ำหรือสูงกว่า 8 นาที อย่างนี้ต้องบอกว่า M4GTS สอบผ่านการเป็น Super Car เพราะใช้เวลาในการแล่นต่อรอบเพียง 7.28 นาทีเท่านั้น โดยเร็วกว่า M4 รุ่นปกติถึง 30 วินาที
ขณะที่ขุมพลังที่อยู่ใต้ฝากระโปรงหน้านั้นเป็นบล็อก 6 สูบเรียง 3,000 ซีซี เทอร์โบคู่ รีดกำลังออกมาได้ 500 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 61.1 กก.-ม. เมื่อส่งกำลังด้วยเกียร์ DCT-Double-Clutch Transmission 7 จังหวะ ใช้เวลาเพียง 3.8 วินาที สำหรับการทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีความเร็วสูงสุด 305 กิโลเมตร/ชั่วโมง
สำหรับใครที่สนใจคงต้องรีบกันหน่อย เพราะผลิตออกมาเพียง 700 คันทั่วโลก ในวาระเพื่อการเฉลิมฉลอง 30 ปีที่อยู่ในตลาดของ M3 แล้วตรงนี้มาเกี่ยวอะไรกับ M4 หลายคนอาจจะสงสัย
โดยคำตอบก็คือ เมื่อก่อนในยุคที่ทุกตัวถังถูกขายผ่านทางซีรีส์ 3 โดยไม่มีการแบ่งแยกอะไร เวอร์ชัน M ไม่ว่าจะตัวถังไหนก็เรียก M3 หมด จนกระทั่งมาถึงยุคของ F10 ที่มีการแยกตัวถังซีดานและสเตชั่นแวกอนเป็นซีรีส์ 3 และคูเป้-เปิดประทุนเป็นซีรีส์ 4 เมื่อกลายร่างเป็น M Version มันก็เลยเรียกแยกชื่อกันว่า M3 กับ M4 ทั้งที่ในความเป็นจริงเมื่อ 30 ปีที่แล้ว จุดเริ่มต้นและที่มาของเรื่องก็คือรถยนต์รุ่นเดียวกันนั่นเอง
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring