เจนเนอเรชั่นที่ 3 ของรุ่นเปิดประทุนจาก Mini เปิดตัวให้เห็นแล้ว พร้อมกับความสดใหม่ของหน้าตา และรูปลักษณ์ที่ถอดแบบมาจากรุ่นแฮทช์แบ็กซึ่งทำตลาดมาก่อนหน้านี้ และมีทางเลือกของเครื่องยนต์ที่หลากหลายทั้งเบนซิน และเทอร์โบดีเซล
สำหรับไฮไลท์ที่น่าสนใจคือ ในรุ่นนี้จะมาพร้อมกับระบบหลังคาที่สามารถพับเก็บได้ด้วยไฟฟ้า ซึ่งได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้มีการทำงานที่เงียบและนุ่มนวลขึ้น โดยสามารถกางออกหรือพับเก็บเมื่อแล่นด้วยความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง และใช้เวลาในการทำงาน 18 วินาที
ขณะที่มิติตัวถังมีการขยายขึ้นจากรุ่นเดิมในเกือบทุกมิติ โดยมาพร้อมกับความยาวเพิ่มขึ้น 98 มิลลิเมตรเป็น 3,821 มิลลิเมตร กว้าง 1,727 มิลลิเมตร (+42) และสูง 1,415 มิลลิเมตร ขณะที่ความกว้างของช่วงล้อหน้าและหลังก็ได้รับการขยายเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมอีก 42 และ 34 มิลลิเมตร ตามลำดับ เช่นเดียวกับระยะฐานล้อหรือ Wheelbase ที่ขยับเพิ่มขึ้นอีก 28 มิลลิเมตร
ในส่วนของพื้นที่เก็บสัมภาระมีเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 25% โดยอยู่ที่ 215 ลิตรเมื่อหลังคากางออก และอยู่ที่ 160 ลิตรเมื่อหลังคาอ่อนถูกพับเก็บลงมา ส่วนใครที่อยากได้ลวดลายอย่างธง Union Jack ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มเพราะเป็นออพชั่นที่ไม่ได้ให้มาตั้งแต่แรก
ส่วนทางเลือกของเครื่องยนต์มีหลากหลายทั้งรุ่นเบนซิน 3 สูบ 1,500 ซีซี เทอร์โบ 136 แรงม้า และตัวแรง 2,000 ซีซี เทอร์โบ 192 แรงม้า ส่วนเทอร์โบดีเซลก็มี 3 สูบ 1,500 ซีซี 116 แรงม้า ตามด้วย 4 สูบ 2,000 ซีซี 170 แรงม้า ส่วนความเร้าใจในรหัส JCW หรือ John Cooper Works ก็มีเหมือนเดิม กับความเร้าใจ 231 แรงม้า โดยมีเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แต่ถ้าอยากสบายเท้าซ้าย ก็จ่ายเงินเพิ่มแลกกับเกียร์อัตโนมัติที่มีจำนวนจังหวะเดินหน้าเท่ากัน ซึ่งมีขายเป็นออพชั่นจากโรงงาน
หลังเปิดตัวในงานโตเกียว มอเตอร์โชว์ 2015 แล้ว ทาง Mini จะเริ่มวางขายทันที แต่ยังไม่เปิดเผยว่าราคาจะอยู่ที่เท่าไร
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring
สำหรับไฮไลท์ที่น่าสนใจคือ ในรุ่นนี้จะมาพร้อมกับระบบหลังคาที่สามารถพับเก็บได้ด้วยไฟฟ้า ซึ่งได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้มีการทำงานที่เงียบและนุ่มนวลขึ้น โดยสามารถกางออกหรือพับเก็บเมื่อแล่นด้วยความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง และใช้เวลาในการทำงาน 18 วินาที
ขณะที่มิติตัวถังมีการขยายขึ้นจากรุ่นเดิมในเกือบทุกมิติ โดยมาพร้อมกับความยาวเพิ่มขึ้น 98 มิลลิเมตรเป็น 3,821 มิลลิเมตร กว้าง 1,727 มิลลิเมตร (+42) และสูง 1,415 มิลลิเมตร ขณะที่ความกว้างของช่วงล้อหน้าและหลังก็ได้รับการขยายเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมอีก 42 และ 34 มิลลิเมตร ตามลำดับ เช่นเดียวกับระยะฐานล้อหรือ Wheelbase ที่ขยับเพิ่มขึ้นอีก 28 มิลลิเมตร
ในส่วนของพื้นที่เก็บสัมภาระมีเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 25% โดยอยู่ที่ 215 ลิตรเมื่อหลังคากางออก และอยู่ที่ 160 ลิตรเมื่อหลังคาอ่อนถูกพับเก็บลงมา ส่วนใครที่อยากได้ลวดลายอย่างธง Union Jack ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มเพราะเป็นออพชั่นที่ไม่ได้ให้มาตั้งแต่แรก
ส่วนทางเลือกของเครื่องยนต์มีหลากหลายทั้งรุ่นเบนซิน 3 สูบ 1,500 ซีซี เทอร์โบ 136 แรงม้า และตัวแรง 2,000 ซีซี เทอร์โบ 192 แรงม้า ส่วนเทอร์โบดีเซลก็มี 3 สูบ 1,500 ซีซี 116 แรงม้า ตามด้วย 4 สูบ 2,000 ซีซี 170 แรงม้า ส่วนความเร้าใจในรหัส JCW หรือ John Cooper Works ก็มีเหมือนเดิม กับความเร้าใจ 231 แรงม้า โดยมีเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แต่ถ้าอยากสบายเท้าซ้าย ก็จ่ายเงินเพิ่มแลกกับเกียร์อัตโนมัติที่มีจำนวนจังหวะเดินหน้าเท่ากัน ซึ่งมีขายเป็นออพชั่นจากโรงงาน
หลังเปิดตัวในงานโตเกียว มอเตอร์โชว์ 2015 แล้ว ทาง Mini จะเริ่มวางขายทันที แต่ยังไม่เปิดเผยว่าราคาจะอยู่ที่เท่าไร
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring