ด้วยเป้าหมายส่วนแบ่งการตลาดที่ต้องเพิ่มขึ้นในหมวดรถกระบะ จึงเป็นที่มาของการปรับปรุงครั้งใหญ่ของ ฟอร์ด เรนเจอร์ ในครั้งนี้ เพราะสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างเยอะกว่าคำว่า “ไมเนอร์เชนจ์” แต่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นรถกระบะพันธุ์แกร่งตามมาตรฐานของฟอร์ด หรือ Built Ford Tough น่าจะนำพาไปสู่เป้าหมายได้ไม่ยากนัก
เรามาดูกันว่า ฟอร์ด แต่งองค์ทรงเครื่องให้แก่ เรนเจอร์ ใหม่ มีอะไรบ้าง เริ่มจากภายนอกได้รับการออกแบบใหม่โดดเด่นด้วยกระจังหน้าทรงเหลี่ยมคางหมู ตัวฝากระโปรงหน้าก็ถูกออกแบบใหม่ให้มีเหลี่ยมสันมากขึ้น ไฟหน้าแบบโปรเจกเตอร์ ไฟตัดหมอกทรงสี่เหลี่ยมและกรอบทรงสปอร์ต ล้อลอยขนาด 18 นิ้ว พร้อมลวดลายที่สวยงาม ที่สำคัญรุ่นใหม่สามารถขับขี่ลุยน้ำได้ที่ความลึก 800 มิลลิเมตร เพราะรถสูงถึง 230 มิลลิเมตร
ส่วนภายในเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก เน้นความหรูหรา สะดวกสบาย แบบรถยนต์นั่งกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นแผงหน้าปัดควบคุมแบบหน้าจอคู่ ทีเอฟที (DUAL TFT) อยู่หลังพวงมาลัยช่วยแสดงข้อมูลต่าง ๆ ภายในรถยนต์ได้อย่างครบครัน คอนโซลหน้าหุ้มด้วยหนังนุ่มต่อการสัมผัสรวมถึงการเดินรอยเย็บสีส้มตลอดแนว ขณะที่เบาะนั่งเป็นแบบสปอร์ต รอยเย็บสีส้ม เช่นเดียวกับคอนโซล แถมฝั่งคนขับสามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 8 ทิศทางด้วยระบบไฟฟ้าตรงนี้ผู้เขียนชอบ
เหนืออื่นใดเรนเจอร์ใหม่ ยังได้ติดตั้งระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า (EPAS) ซึ่งมีคุณสมบัติในเรื่องการควบคุมรถได้อย่างมั่นใจ โดยระบบจะปรับให้พวงมาลัยมีน้ำหนักเบาเมื่อขับความเร็วต่ำแต่ถ้าใช้ความเร็วสูงน้ำหนักพวงมาลัยจะถูกเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองความมั่นใจในการเดินทาง ทั้งนี้เกิดจากการตั้งค่าที่แตกต่างกันไปตามความเร็วของรถ เช่นมุมเลี้ยวของแรงเหวี่ยงพวงมาลัยขณะเข้าโค้ง และ อัตราการเร่งหรือลดความเร็ว เป็นต้น
นอกจากนี้ ฟอร์ด เรนเจอร์ ยังมาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็น ระบบสั่งงานด้วยเสียงใหม่ ซิงค์ 2 (SYNC 2) ซึ่งเป็นระบบเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารภายในตัวรถ ช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมระบบต่าง ๆ ของตัวรถผ่านคำสั่งเสียง ไม่ว่าจะเป็นระบบความบันเทิง ระบบปรับอากาศ มาพร้อมหน้าจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว ซึ่งจอแสดงคำสั่งการใช้งานแต่ละเมนูแยกสีต่างกัน ทำให้การใช้งานเมนูง่ายยิ่งขึ้น
สัญญาณเซ็นเซอร์ช่วยจอดหน้าหลัง (Front and Rear Park Assist) ใช้อุปกรณ์เซ็นเซอร์ตรวจจับสิ่งกีดขวางขณะจอดรถ และสั่งสัญญาณเสียงเตือนเมื่อรถเข้าใกล้สิ่งกีดขวางดังกล่าวที่ความเร็วต่ำโดยกล้องมองหลังจะช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นท้ายรถ
ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program) พร้อมระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกค่ำ (Rollover Mitigation) และระบบลดอาการส่ายขณะลากจูงเทรลเลอร์ (Trailer Sway Control) ช่วยให้รถอยู่ในความควบคุมเสมอ แม้ในสภาวะการขับขี่ท้าทาย
ไม่เพียงเท่านี้ ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ยังนำเทคโนโลยีอัจฉริยะ อื่น ๆ เพิ่มมาอีกคือ ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดรถบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) ช่วยให้ผู้ขับขี่ขับรถบนทางลาดชันได้อย่างมั่นใจ,ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control)ที่ช่วยควบคุมการขับลงเขาที่เสริมแรงเบรกในระดับความเร็วต่อเนื่อง ,ระบบควบคุมการบรรทุก (Adaptive Load Control)ช่วยรักษาระบบควบคุมการทรงตัวตามน้ำหนักของสัมภาระ ,ระบบเบรกฉุกเฉิน (Emergency Brake Assistance) ซึ่งจะส่งน้ำหนักไปที่ระบบเบรก เพื่อเพิ่มพลังในการเบรกเมื่อผู้ขับขี่ต้องเบรกกะทันหันในสถานการณ์ฉุกเฉิน
จุดเด่นอีกอย่างคือ รถรุ่นนี้มีการติดตั้งช่องชาร์จไฟแบบ 230 โวลต์ ซึ่งสามารถใช้ชาร์จไฟคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กหรือแท็บเล็ตจากที่ไหนก็ได้
สำหรับขุมพลัง ในรุ่นไวล์ดเทรค และรุ่น XLT มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค ทีดีซีไอ วีจี เทอร์โบ ขนาด 3.2 ลิตร แบบ 5 สูบ หรือ เครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค ทีดีซีไอ วีจี เทอร์โบ ขนาด 2.2 ลิตร แบบ 4 สูบ โดยในเครื่องขนาด 3.2 ลิตร ได้มีการพัฒนาและติดตั้งระบบหมุนเวียนไอเสียแบบใหม่ ทำให้ประหยัดน้ำมันขึ้น บวกกับพละกำลังได้ถึง 200 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตร ส่วนเครื่อง 2.2 ลิตร มีการเพิ่มแรงม้า จาก 150 เป็น 160 แรงม้าและเพิ่มแรงบิดเป็น 385 นิวตัน-เมตร ทั้งสองเครื่องมาพร้อมเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีดและระบบเกียร์ธรรมดา เพื่อการบรรทุกและลากจูงอย่างเต็มสมรรถนะ
จะเห็นได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ใส่เข้ามาให้แก่ เรนเจอร์ ใหม่ ไม่ธรรมดากันเลยทีเดียวและความพิเศษเหล่านั้น เราได้พิสูจน์จากการทดลองขับจากกรุงเทพฯสู่จังหวัดกาญจนบุรี พร้อมการทดสอบการขับขี่แบบ ออฟโรด ในสนามทดสอบพาหนะของกรมการขนส่งทหารบก ซึ่งมีอยู่ 3 สถานี
จุดสตาร์ทเราเริ่มจาก อาคารสาทรสแควร์ มุ่งหน้าสู่จังหวัดกาญจนบุรี หลังกดคันเร่งมีการตอบสนองได้ดีทันใจ มีพละกำลังค่อนข้างมาก ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะรถคันที่เราได้ลองขับเป็นตัวท็อปรุ่นไวล์ดเทรค ขนาด 3.2 ลิตร แบบ 5 สูบ บวกกับพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าน้ำหนักเบา หมุนสบายคล่องมือ โดยเฉพาะการขับขี่ในเมืองและการเปลี่ยนเลนด้วยความเร็วต่ำ เห็นได้ชัดเลยว่าระบบพวงมาลัยไฟฟ้า ช่วยให้การขับขี่ง่ายดายยิ่งขึ้น ขณะที่ในช่วงความเร็วสูงก็ปรับความหนืดมากขึ้น กำลังดี รู้สึกมั่นใจเมื่อใช้ความเร็วเพิ่ม และที่ต้องชมจากใจเลยคือ การเก็บเสียงทำได้ดีทีเดียว แม้จะเพิ่มความเร็วในระดับ 100 กว่าก็ยังเงียบอยู่
ขณะที่บนสนามทดสอบออฟโรดที่แบ่งเป็น 3 สถานี โดยสถานีแรก เป็นการขับไต่ทางลาดชันมุม 50 องศา เพื่อพิสูจน์ระบบ Hill Launch Assist แล้วเหยียบเบรกให้รถหยุดนิ่งตรงทางชัน พร้อมยกเท้าออกจากแป้นเบรก ซึ่งรถจะหยุดนิ่งเป็นเวลา 3 นาที แล้วจึงค่อยเร่งให้รถออกตัวบนทางชัน ถ้าไม่มีระบบนี้รถก็จะไหลลงมาได้ การขับขี่ขึ้นทางชันนี้เพียงแค่ปรับโหมดจากขับเคลื่อน 2 ล้อ มาเป็น 2 h เท่านั้นเอง
ขากลับให้เราขับรถลงทางลาดต่ำมุม 60 องศา โดยระบบ Hill Descent Control เพียงหมุนปุ่มที่มีสัญลักษณ์รูปลงเขา จากนั้นปล่อยขาออกจากคันเร่งและเบรก ปล่อยให้ระบบทำงาน รถก็จะเคลื่อนลงมาอย่างช้า ๆ โดยที่เราไม่ต้องแตะเบรกเลย
หลังจากนั้นเปลี่ยนสถานีมาขับยิมคาน่า บนพื้นหินกรวดลอย เพื่อทดสอบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า ซึ่งก็เป็นไปตามคาดพวงมาลัยไฟฟ้าช่วยให้การเลี้ยวเข้าโค้งในแต่ละไพล่อนที่ตั้งเอาไว้ได้สบาย สบาย ตอบสนองได้ดี ควบคุมง่าย
ส่วนสถานีสุดท้ายเป็นการทดสอบความแข็งแกร่งของช่วงล่างและความนุ่มนวล โดยให้ขับบนก้อนหิน และ ทางเป็นคลื่น ซึ่งก็ต้องยอมรับเขาเซ็ตช่วงล่างมาได้ดีจริง นุ่มนวล ไม่สะเทือนสักเท่าไร ตัวรถนิ่ง มั่นคง พอรับได้ หลังจากนั้นให้ขับลงบ่อน้ำและปีนไต่ขึ้นมา เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเรนเจอร์สามารถลุยน้ำได้ในความลึกถึง 800 มิลลิเมตร แม้ในวันนั้นน้ำในบ่อจะไม่ถึงตัวเลขที่กล่าวก็ตาม คือมีแค่ 40 เซนติเมตร เอง
สนนราคาของฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ในรุ่นสแตนดาร์ดแค็บมี 3 รุ่นให้เลือก เริ่มต้นเครื่อง 2.2 ลิตร ราคา 549,000และ575,000 บาท ส่วน- 749,000 บาทเป็นราคา รุ่น เครื่อง 3.2 ลิตร
รุ่นโอเพ่นแค็บ มี 7 รุ่น ให้เลือก เริ่มต้นที่ราคา 599,000- 859,000 บาท ส่วนดับเบิ้ลแค็บ 5 รุ่น จากตัวต่ำ 788,000-1,019,000 บาท สำหรับรุ่นยอดนิยม ไวล์ดแทรค มี 4 รุ่น เริ่ม 925,000-1,139,000 บาท ซึ่งในตัวท็อปของไวล์ดแทรคมีราคาเท่ากับ ตัวท็อปของโตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ แต่ได้เครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่า ออปชันมากกว่า จึงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าหากไม่ติดแบรนด์
ท้ายสุด หลังจากการทดลองขับยอมรับว่าประทับใจกับ ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่มาก ไม่คิดว่ารถกระบะคันใหญ่จะขับง่าย คล่องตัว จนลืมไปว่าขนาดมันใหญ่มาก ผสานกับเครื่องยนต์ที่ทรงพลัง-เทคโนโลยีที่ทันสมัย-ความสะดวกสบายในการขับขี่-ความนุ่มนวล -ระบบความปลอดภัย ต่าง ๆ ที่ใส่เข้ามาให้แบบครบเครื่องเช่นนี้ ก็น่าจับจองเป็นเจ้าของมาก หากฟอร์ดสามารถปรับปรุงศูนย์บริการที่ผ่านมาติดลบให้เป็นบวกได้ รับรองตัวเลขวิ่งแน่นอน
เรามาดูกันว่า ฟอร์ด แต่งองค์ทรงเครื่องให้แก่ เรนเจอร์ ใหม่ มีอะไรบ้าง เริ่มจากภายนอกได้รับการออกแบบใหม่โดดเด่นด้วยกระจังหน้าทรงเหลี่ยมคางหมู ตัวฝากระโปรงหน้าก็ถูกออกแบบใหม่ให้มีเหลี่ยมสันมากขึ้น ไฟหน้าแบบโปรเจกเตอร์ ไฟตัดหมอกทรงสี่เหลี่ยมและกรอบทรงสปอร์ต ล้อลอยขนาด 18 นิ้ว พร้อมลวดลายที่สวยงาม ที่สำคัญรุ่นใหม่สามารถขับขี่ลุยน้ำได้ที่ความลึก 800 มิลลิเมตร เพราะรถสูงถึง 230 มิลลิเมตร
ส่วนภายในเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก เน้นความหรูหรา สะดวกสบาย แบบรถยนต์นั่งกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นแผงหน้าปัดควบคุมแบบหน้าจอคู่ ทีเอฟที (DUAL TFT) อยู่หลังพวงมาลัยช่วยแสดงข้อมูลต่าง ๆ ภายในรถยนต์ได้อย่างครบครัน คอนโซลหน้าหุ้มด้วยหนังนุ่มต่อการสัมผัสรวมถึงการเดินรอยเย็บสีส้มตลอดแนว ขณะที่เบาะนั่งเป็นแบบสปอร์ต รอยเย็บสีส้ม เช่นเดียวกับคอนโซล แถมฝั่งคนขับสามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 8 ทิศทางด้วยระบบไฟฟ้าตรงนี้ผู้เขียนชอบ
เหนืออื่นใดเรนเจอร์ใหม่ ยังได้ติดตั้งระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า (EPAS) ซึ่งมีคุณสมบัติในเรื่องการควบคุมรถได้อย่างมั่นใจ โดยระบบจะปรับให้พวงมาลัยมีน้ำหนักเบาเมื่อขับความเร็วต่ำแต่ถ้าใช้ความเร็วสูงน้ำหนักพวงมาลัยจะถูกเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองความมั่นใจในการเดินทาง ทั้งนี้เกิดจากการตั้งค่าที่แตกต่างกันไปตามความเร็วของรถ เช่นมุมเลี้ยวของแรงเหวี่ยงพวงมาลัยขณะเข้าโค้ง และ อัตราการเร่งหรือลดความเร็ว เป็นต้น
นอกจากนี้ ฟอร์ด เรนเจอร์ ยังมาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็น ระบบสั่งงานด้วยเสียงใหม่ ซิงค์ 2 (SYNC 2) ซึ่งเป็นระบบเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารภายในตัวรถ ช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมระบบต่าง ๆ ของตัวรถผ่านคำสั่งเสียง ไม่ว่าจะเป็นระบบความบันเทิง ระบบปรับอากาศ มาพร้อมหน้าจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว ซึ่งจอแสดงคำสั่งการใช้งานแต่ละเมนูแยกสีต่างกัน ทำให้การใช้งานเมนูง่ายยิ่งขึ้น
สัญญาณเซ็นเซอร์ช่วยจอดหน้าหลัง (Front and Rear Park Assist) ใช้อุปกรณ์เซ็นเซอร์ตรวจจับสิ่งกีดขวางขณะจอดรถ และสั่งสัญญาณเสียงเตือนเมื่อรถเข้าใกล้สิ่งกีดขวางดังกล่าวที่ความเร็วต่ำโดยกล้องมองหลังจะช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นท้ายรถ
ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program) พร้อมระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกค่ำ (Rollover Mitigation) และระบบลดอาการส่ายขณะลากจูงเทรลเลอร์ (Trailer Sway Control) ช่วยให้รถอยู่ในความควบคุมเสมอ แม้ในสภาวะการขับขี่ท้าทาย
ไม่เพียงเท่านี้ ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ยังนำเทคโนโลยีอัจฉริยะ อื่น ๆ เพิ่มมาอีกคือ ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดรถบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) ช่วยให้ผู้ขับขี่ขับรถบนทางลาดชันได้อย่างมั่นใจ,ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control)ที่ช่วยควบคุมการขับลงเขาที่เสริมแรงเบรกในระดับความเร็วต่อเนื่อง ,ระบบควบคุมการบรรทุก (Adaptive Load Control)ช่วยรักษาระบบควบคุมการทรงตัวตามน้ำหนักของสัมภาระ ,ระบบเบรกฉุกเฉิน (Emergency Brake Assistance) ซึ่งจะส่งน้ำหนักไปที่ระบบเบรก เพื่อเพิ่มพลังในการเบรกเมื่อผู้ขับขี่ต้องเบรกกะทันหันในสถานการณ์ฉุกเฉิน
จุดเด่นอีกอย่างคือ รถรุ่นนี้มีการติดตั้งช่องชาร์จไฟแบบ 230 โวลต์ ซึ่งสามารถใช้ชาร์จไฟคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กหรือแท็บเล็ตจากที่ไหนก็ได้
สำหรับขุมพลัง ในรุ่นไวล์ดเทรค และรุ่น XLT มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค ทีดีซีไอ วีจี เทอร์โบ ขนาด 3.2 ลิตร แบบ 5 สูบ หรือ เครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค ทีดีซีไอ วีจี เทอร์โบ ขนาด 2.2 ลิตร แบบ 4 สูบ โดยในเครื่องขนาด 3.2 ลิตร ได้มีการพัฒนาและติดตั้งระบบหมุนเวียนไอเสียแบบใหม่ ทำให้ประหยัดน้ำมันขึ้น บวกกับพละกำลังได้ถึง 200 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตร ส่วนเครื่อง 2.2 ลิตร มีการเพิ่มแรงม้า จาก 150 เป็น 160 แรงม้าและเพิ่มแรงบิดเป็น 385 นิวตัน-เมตร ทั้งสองเครื่องมาพร้อมเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีดและระบบเกียร์ธรรมดา เพื่อการบรรทุกและลากจูงอย่างเต็มสมรรถนะ
จะเห็นได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ใส่เข้ามาให้แก่ เรนเจอร์ ใหม่ ไม่ธรรมดากันเลยทีเดียวและความพิเศษเหล่านั้น เราได้พิสูจน์จากการทดลองขับจากกรุงเทพฯสู่จังหวัดกาญจนบุรี พร้อมการทดสอบการขับขี่แบบ ออฟโรด ในสนามทดสอบพาหนะของกรมการขนส่งทหารบก ซึ่งมีอยู่ 3 สถานี
จุดสตาร์ทเราเริ่มจาก อาคารสาทรสแควร์ มุ่งหน้าสู่จังหวัดกาญจนบุรี หลังกดคันเร่งมีการตอบสนองได้ดีทันใจ มีพละกำลังค่อนข้างมาก ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะรถคันที่เราได้ลองขับเป็นตัวท็อปรุ่นไวล์ดเทรค ขนาด 3.2 ลิตร แบบ 5 สูบ บวกกับพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าน้ำหนักเบา หมุนสบายคล่องมือ โดยเฉพาะการขับขี่ในเมืองและการเปลี่ยนเลนด้วยความเร็วต่ำ เห็นได้ชัดเลยว่าระบบพวงมาลัยไฟฟ้า ช่วยให้การขับขี่ง่ายดายยิ่งขึ้น ขณะที่ในช่วงความเร็วสูงก็ปรับความหนืดมากขึ้น กำลังดี รู้สึกมั่นใจเมื่อใช้ความเร็วเพิ่ม และที่ต้องชมจากใจเลยคือ การเก็บเสียงทำได้ดีทีเดียว แม้จะเพิ่มความเร็วในระดับ 100 กว่าก็ยังเงียบอยู่
ขณะที่บนสนามทดสอบออฟโรดที่แบ่งเป็น 3 สถานี โดยสถานีแรก เป็นการขับไต่ทางลาดชันมุม 50 องศา เพื่อพิสูจน์ระบบ Hill Launch Assist แล้วเหยียบเบรกให้รถหยุดนิ่งตรงทางชัน พร้อมยกเท้าออกจากแป้นเบรก ซึ่งรถจะหยุดนิ่งเป็นเวลา 3 นาที แล้วจึงค่อยเร่งให้รถออกตัวบนทางชัน ถ้าไม่มีระบบนี้รถก็จะไหลลงมาได้ การขับขี่ขึ้นทางชันนี้เพียงแค่ปรับโหมดจากขับเคลื่อน 2 ล้อ มาเป็น 2 h เท่านั้นเอง
ขากลับให้เราขับรถลงทางลาดต่ำมุม 60 องศา โดยระบบ Hill Descent Control เพียงหมุนปุ่มที่มีสัญลักษณ์รูปลงเขา จากนั้นปล่อยขาออกจากคันเร่งและเบรก ปล่อยให้ระบบทำงาน รถก็จะเคลื่อนลงมาอย่างช้า ๆ โดยที่เราไม่ต้องแตะเบรกเลย
หลังจากนั้นเปลี่ยนสถานีมาขับยิมคาน่า บนพื้นหินกรวดลอย เพื่อทดสอบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า ซึ่งก็เป็นไปตามคาดพวงมาลัยไฟฟ้าช่วยให้การเลี้ยวเข้าโค้งในแต่ละไพล่อนที่ตั้งเอาไว้ได้สบาย สบาย ตอบสนองได้ดี ควบคุมง่าย
ส่วนสถานีสุดท้ายเป็นการทดสอบความแข็งแกร่งของช่วงล่างและความนุ่มนวล โดยให้ขับบนก้อนหิน และ ทางเป็นคลื่น ซึ่งก็ต้องยอมรับเขาเซ็ตช่วงล่างมาได้ดีจริง นุ่มนวล ไม่สะเทือนสักเท่าไร ตัวรถนิ่ง มั่นคง พอรับได้ หลังจากนั้นให้ขับลงบ่อน้ำและปีนไต่ขึ้นมา เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเรนเจอร์สามารถลุยน้ำได้ในความลึกถึง 800 มิลลิเมตร แม้ในวันนั้นน้ำในบ่อจะไม่ถึงตัวเลขที่กล่าวก็ตาม คือมีแค่ 40 เซนติเมตร เอง
สนนราคาของฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ในรุ่นสแตนดาร์ดแค็บมี 3 รุ่นให้เลือก เริ่มต้นเครื่อง 2.2 ลิตร ราคา 549,000และ575,000 บาท ส่วน- 749,000 บาทเป็นราคา รุ่น เครื่อง 3.2 ลิตร
รุ่นโอเพ่นแค็บ มี 7 รุ่น ให้เลือก เริ่มต้นที่ราคา 599,000- 859,000 บาท ส่วนดับเบิ้ลแค็บ 5 รุ่น จากตัวต่ำ 788,000-1,019,000 บาท สำหรับรุ่นยอดนิยม ไวล์ดแทรค มี 4 รุ่น เริ่ม 925,000-1,139,000 บาท ซึ่งในตัวท็อปของไวล์ดแทรคมีราคาเท่ากับ ตัวท็อปของโตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ แต่ได้เครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่า ออปชันมากกว่า จึงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าหากไม่ติดแบรนด์
ท้ายสุด หลังจากการทดลองขับยอมรับว่าประทับใจกับ ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่มาก ไม่คิดว่ารถกระบะคันใหญ่จะขับง่าย คล่องตัว จนลืมไปว่าขนาดมันใหญ่มาก ผสานกับเครื่องยนต์ที่ทรงพลัง-เทคโนโลยีที่ทันสมัย-ความสะดวกสบายในการขับขี่-ความนุ่มนวล -ระบบความปลอดภัย ต่าง ๆ ที่ใส่เข้ามาให้แบบครบเครื่องเช่นนี้ ก็น่าจับจองเป็นเจ้าของมาก หากฟอร์ดสามารถปรับปรุงศูนย์บริการที่ผ่านมาติดลบให้เป็นบวกได้ รับรองตัวเลขวิ่งแน่นอน