ในช่วงครึ่งปีแรกถึง “ฟอร์ด” จะมีการเผยโฉมรถใหม่ “เรนเจอร์-เอเวอเรสต์” แต่ยังไม่ใช่ช่วงการวางตลาดอย่างเป็นทางการ หรือส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้ ต่างจากครึ่งปีหลังที่จะเป็นช่วงตะลุยชนกับยักษ์ใหญ่อย่างแท้จริง และนั่นทำให้ “ยุคลธร วิเศษโกสิน” กรรมการผู้จัดการฟอร์ด ประเทศไทย มีความมั่นใจจะผลักดันยอดขายฟอร์ด ให้ดีดกลับมาพ้นปากเหวได้?
“ครึ่งปีแรกฟอร์ดมียอดขายลดลงตามสภาวะตลาดรวม หรือทำได้ทั้งหมดประมาณ 1.5 หมื่นคัน มีส่วนแบ่งการตลาด หรือแชร์ระดับ 4% แต่หากมองทิศทางในช่วงที่ผ่านมาถือว่าค่อนข้างดี จากช่วงไตรมาสแรกมีแชร์ 3.5% ปรับเพิ่มเป็น 4.5% โดยเฉพาะในส่วนของปิกอัพเรนเจอร์ที่มีส่วนแบ่ง 6.5% และการเปิดตัวปิกอัพฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่นปรับโฉม หรือไมเนอร์เชนจ์สู่ตลาดในครึ่งปีหลังนับจากนี้ไป คาดว่าหวังว่าจะช่วยผลักดันให้ในอนาคตเร็วๆ นี้ ปิกอัพเรนเจอร์มีแชร์ไม่ต่ำกว่า 8% หรืออยู่อันดับ 3 ของตลาดปิกอัพ จากปัจจุบันอยู่อันดับ 4”
สำหรับฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ มีการปรับรูปลักษณ์ทั้งภายนอกและภายในอย่างชัดเจน พร้อมกับเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวก และความปลอดภัยเข้าไป โดยมีให้เลือกทั้งหมด 19 รุ่น ราคาจำหน่ายตั้งแต่ 549,000-1,139,000 บาท และมีเพียงบางรุ่นปรับราคาขึ้น หรือเพิ่มสูงสุดเพียง 2.5 หมื่นบาท ตามอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่เพิ่มให้มา
ยุคลธรกล่าวว่า ส่วนรถอเนกประสงค์แบบเอสยูวี “ฟอร์ด เอเวอเรสต์” ที่เพิ่งเผยโฉมและรับจองเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และจะส่งเริ่มส่งมอบรถได้ในครึ่งหลังปีนี้เป็นต้นไป ปรากฏว่าผู้บริโภคให้การตอบรับมากกว่าที่คาดไว้อีก…
“จนถึงขณะนี้รุ่นเอเวอเรสต์ใหม่ มียอดจองมากกว่าที่ตั้งเป้าไว้ตลอดทั้งปีเกินครึ่งไปแล้ว ทำให้สัดส่วนของกลุ่มรถอเนกประสงค์เอสยูวีของฟอร์ดจะอยู่ที่ประมาณ 28% (รวมฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต) จากปีที่ผ่านๆ มามีเพียงเล็กน้อยหรือไม่กี่เปอร์เซ็นต์ และเมื่อผสานกับปิกอัพเรนเจอร์ใหม่ที่มีสัดส่วน 60% ทำให้คาดหวังว่าปีนี้ฟอร์ดจะมียอดขายใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ซึ่งทำได้ 3.8 หมื่นคัน หรือบวก/ลบไม่มากนัก”
สำหรับภาพรวมตลาดรถยนต์ไทยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 8 แสนคัน แต่จะมากกว่าหรือต่ำกว่านี้แค่ไหน ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของสภาวะเศรษฐกิจ และการผ่อนคลายความเข้มงวดของไฟแนนซ์
ส่วนปัญหาภัยแล้งยังไม่เห็นผลกระทบชัด และเร็วๆ นี้น่าจะคลี่คลายขึ้น แต่อีกปัจจัยที่จะผลักดันยอดขายในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะกลุ่มรถอเนกประสงค์เอสยูวี(รวมถึงพีพีวี) มาจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ ที่จะเริ่มใช้ในวันที่ 1 ม.ค.2559 เป็นต้นไป ซึ่งรถกลุ่มเอสยูวี/พีพีวีได้ปรับอัตราการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น
“ภาษีสรรพสามิตใหม่จะทำให้รถเอสยูวี/พีพีวี ต้องปรับราคามากขึ้นไม่ต่ำกว่า 1.0-1.5 แสนบาท กระตุ้นให้ผู้บริโภคเร่งซื้อรถกลุ่มนี้ก่อนปรับราคาใหม่ในต้นปีหน้า และส่งผลให้สัดส่วนของรถเอสยูวี/พีพีวีในภาพรวมตลาดทั้งหมด ซึ่งเดิมอยู่ที่ประมาณ 5% จะปรับเพิ่มสัดส่วนเป็น 7% ส่วนปิกอัพแบบมีแค็บจะปรับเพิ่มเช่นกัน แต่ไม่มากประมาณ 3 หมื่นบาท ประกอบสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทำให้การตัดสินใจเร่งซื้อปิกอัพรุ่นดังกล่าวของผู้บริโภคไม่จูงใจพอ”
อย่างไรก็ตาม การเร่งซื้อรถของผู้บริโภคในช่วงปลายปีนี้ ยุคลธรมองว่าอาจจะทำให้ตลาดรถเอสยูวี/พีวีหดตัวลงในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ของปีหน้า แต่คงไม่ส่งผลกระทบรุนแรงเหมือนกับโครงการรถคันแรก เพราะเป็นตลาดที่ไม่ใช่รถกลุ่มใหญ่ทั่วไป ซึ่งหลังจากนั้นตลาดน่าจะกลับมาเป็นปกติตามกลไกตลาด และเชื่อว่าจะมีลูกค้าใหม่เข้ามาเรื่อยๆ
“ครึ่งปีแรกฟอร์ดมียอดขายลดลงตามสภาวะตลาดรวม หรือทำได้ทั้งหมดประมาณ 1.5 หมื่นคัน มีส่วนแบ่งการตลาด หรือแชร์ระดับ 4% แต่หากมองทิศทางในช่วงที่ผ่านมาถือว่าค่อนข้างดี จากช่วงไตรมาสแรกมีแชร์ 3.5% ปรับเพิ่มเป็น 4.5% โดยเฉพาะในส่วนของปิกอัพเรนเจอร์ที่มีส่วนแบ่ง 6.5% และการเปิดตัวปิกอัพฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่นปรับโฉม หรือไมเนอร์เชนจ์สู่ตลาดในครึ่งปีหลังนับจากนี้ไป คาดว่าหวังว่าจะช่วยผลักดันให้ในอนาคตเร็วๆ นี้ ปิกอัพเรนเจอร์มีแชร์ไม่ต่ำกว่า 8% หรืออยู่อันดับ 3 ของตลาดปิกอัพ จากปัจจุบันอยู่อันดับ 4”
สำหรับฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ มีการปรับรูปลักษณ์ทั้งภายนอกและภายในอย่างชัดเจน พร้อมกับเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวก และความปลอดภัยเข้าไป โดยมีให้เลือกทั้งหมด 19 รุ่น ราคาจำหน่ายตั้งแต่ 549,000-1,139,000 บาท และมีเพียงบางรุ่นปรับราคาขึ้น หรือเพิ่มสูงสุดเพียง 2.5 หมื่นบาท ตามอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่เพิ่มให้มา
ยุคลธรกล่าวว่า ส่วนรถอเนกประสงค์แบบเอสยูวี “ฟอร์ด เอเวอเรสต์” ที่เพิ่งเผยโฉมและรับจองเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และจะส่งเริ่มส่งมอบรถได้ในครึ่งหลังปีนี้เป็นต้นไป ปรากฏว่าผู้บริโภคให้การตอบรับมากกว่าที่คาดไว้อีก…
“จนถึงขณะนี้รุ่นเอเวอเรสต์ใหม่ มียอดจองมากกว่าที่ตั้งเป้าไว้ตลอดทั้งปีเกินครึ่งไปแล้ว ทำให้สัดส่วนของกลุ่มรถอเนกประสงค์เอสยูวีของฟอร์ดจะอยู่ที่ประมาณ 28% (รวมฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต) จากปีที่ผ่านๆ มามีเพียงเล็กน้อยหรือไม่กี่เปอร์เซ็นต์ และเมื่อผสานกับปิกอัพเรนเจอร์ใหม่ที่มีสัดส่วน 60% ทำให้คาดหวังว่าปีนี้ฟอร์ดจะมียอดขายใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ซึ่งทำได้ 3.8 หมื่นคัน หรือบวก/ลบไม่มากนัก”
สำหรับภาพรวมตลาดรถยนต์ไทยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 8 แสนคัน แต่จะมากกว่าหรือต่ำกว่านี้แค่ไหน ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของสภาวะเศรษฐกิจ และการผ่อนคลายความเข้มงวดของไฟแนนซ์
ส่วนปัญหาภัยแล้งยังไม่เห็นผลกระทบชัด และเร็วๆ นี้น่าจะคลี่คลายขึ้น แต่อีกปัจจัยที่จะผลักดันยอดขายในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะกลุ่มรถอเนกประสงค์เอสยูวี(รวมถึงพีพีวี) มาจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ ที่จะเริ่มใช้ในวันที่ 1 ม.ค.2559 เป็นต้นไป ซึ่งรถกลุ่มเอสยูวี/พีพีวีได้ปรับอัตราการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น
“ภาษีสรรพสามิตใหม่จะทำให้รถเอสยูวี/พีพีวี ต้องปรับราคามากขึ้นไม่ต่ำกว่า 1.0-1.5 แสนบาท กระตุ้นให้ผู้บริโภคเร่งซื้อรถกลุ่มนี้ก่อนปรับราคาใหม่ในต้นปีหน้า และส่งผลให้สัดส่วนของรถเอสยูวี/พีพีวีในภาพรวมตลาดทั้งหมด ซึ่งเดิมอยู่ที่ประมาณ 5% จะปรับเพิ่มสัดส่วนเป็น 7% ส่วนปิกอัพแบบมีแค็บจะปรับเพิ่มเช่นกัน แต่ไม่มากประมาณ 3 หมื่นบาท ประกอบสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทำให้การตัดสินใจเร่งซื้อปิกอัพรุ่นดังกล่าวของผู้บริโภคไม่จูงใจพอ”
อย่างไรก็ตาม การเร่งซื้อรถของผู้บริโภคในช่วงปลายปีนี้ ยุคลธรมองว่าอาจจะทำให้ตลาดรถเอสยูวี/พีวีหดตัวลงในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ของปีหน้า แต่คงไม่ส่งผลกระทบรุนแรงเหมือนกับโครงการรถคันแรก เพราะเป็นตลาดที่ไม่ใช่รถกลุ่มใหญ่ทั่วไป ซึ่งหลังจากนั้นตลาดน่าจะกลับมาเป็นปกติตามกลไกตลาด และเชื่อว่าจะมีลูกค้าใหม่เข้ามาเรื่อยๆ