จัดเต็มจัดหนักอย่างต่อเนื่องกับการรุกตลาดสองล้อขนาดใหญ่ในบ้านเรา สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทยโดยล่าสุดจัดกิจกรรมนำคณะสื่อมวลชนร่วมเปิดประสบการณ์การขับขี่สไตล์ออฟโรด ที่สนามฝึกทางฝุ่นแบบครบวงจรแห่งแรกในเอเชีย “เอ็นดูโร่ พาร์ค ไทยแลนด์” ซึ่งได้รับการออกแบบตรงตามมาตรฐานสากล พร้อมความโดดเด่นสถานที่ตั้งอยู่ใกล้ การเดินทางสะดวกรวดเร็วเอาใจนักบิดคนเมืองโดยเฉพาะ
กิจกรรมการเปิดสนาม เอ็นดูโร่ พาร์ค ไทยแลนด์ (Enduro Park Thailand) ในครั้งนี้ บอสใหญ่ “มาร์คุส โจฮันเนส เกลเซอร์” ผู้จัดการทั่วไป บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย กล่าวถึงที่มาที่ไปของสนามแห่งนี้ว่า “บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ด้วยยอดขายที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในทุกๆ ปี ตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เรายังเสริมความแข็งแกร่งด้วยการนำเสนอมอเตอร์ไซค์ที่ประกอบในประเทศไทยหลายรุ่น และการเปิดโชว์รูมของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เพิ่มขึ้น สนาม เอ็นดูโร่ พาร์ค ไทยแลนด์ แห่งนี้ จะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่เติมเต็มประสบการณ์ให้กับคนรักบิ๊กไบค์ชาวไทย ได้มีโอกาสสัมผัสโลกแห่งการขับขี่ในแบบบีเอ็มดับเบิลยู”
สำหรับเอ็นดูโร่ พาร์ค ไทยแลนด์ ตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอันร่มรื่นของสวนผลไม้ ริมบึงน้ำขนาดใหญ่ในเขตบางบอน สามารถเข้า-ออกได้สองทางจากถนนเอกชัยและบางบอน 3 (เพชรเกษมซอย 69) ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากใจกลางเมืองเพียง 30 นาที มีพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด 13,500 ตารางเมตร ประกอบด้วยสถานีฝึกขับขี่สไตล์ออฟโรด 15 สถานี และอาคารสำนักงาน โดยสนามฝึกแห่งนี้ได้รับการออกแบบถูกต้องตามมาตรฐานสากลของบีเอ็มดับเบิลยูในต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นสนามฝึกการขับขี่มอเตอร์ไซค์สไตล์เอ็นดูโร่ ที่ครอบคลุมทักษะการใช้งานมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยูในตระกูล GS ทุกรุ่น ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของทีมผู้ฝึกสอนซึ่งมีความเชี่ยวชาญระดับแถวหน้าของเมืองไทย
“เมื่อเทียบกับสนามฝึกขับขี่ที่เยอรมันจะค่อนข้างอยู่ไกล ยกตัวอย่างจากเมืองมิวนิคที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้ว ยังต้องใช้เวลาเดินทางไป-กลับ อย่างน้อยถึง 4 ชั่วโมง ทำให้ผู้ที่ต้องการจะใช้สนามต้องวางแผนการเดินทางให้ดี หรือส่วนใหญ่ต้องแลกกับการใช้วันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อไปเข้าคอร์สขับขี่แทนที่จะได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ขณะที่สนามแห่งนี้ตอบโจทย์สำหรับคนเมืองโดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถเข้ามาใช้บริการได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว” บอสใหญ่ค่ายใบพัดสีฟ้าอธิบายถึงสิ่งที่นักบิดจากเมืองเบียร์ยังต้องอิจฉา พร้อมเล่าถึงความสำคัญของสนามต่อว่า
“นอกจากนี้ยังประจวบเหมาะกับการที่ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน GS Trophy Southeast Asia Qualifier 2015 หรือเป็นการคัดเลือกตัวแทนจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้าร่วมชิงชัยในการแข่งขันระดับโลก International GS Trophy 2016 ซึ่งจะจัดขึ้นในภูมิภาคนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน”
เกี่ยวกับ GS Trophy เป็นการแข่งขันมอเตอร์ไซค์วิบากระดับโลก ของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 2 ปี โดยครั้งแรกเริ่มต้นในปี 2551 (2008) ที่ประเทศตูนิเซีย จนถึงปัจจุบัน มีการจัดการแข่งขันมาแล้วทั้งสิ้น 4 ครั้ง สำหรับครั้งล่าสุดเมื่อปีที่แล้วมีผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 16 ทีม จาก 18 ประเทศ และการแข่งขันครั้งต่อไปในปี 2559 (2016) จะจัดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแต่ละทีมจะมีนักแข่งจำนวน 3 คน พร้อมด้วยสื่อมวลชนอีก 1 คน ที่จะร่วมทำข่าวตลอดการแข่งขัน
โดยศึกชิงแชมป์สองล้อทางฝุ่นในปีหน้าจะมีตัวแทนจากประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขันด้วย 1 คนอย่างแน่นอน เพราะการแข่งขันรอบคัดเลือกในวันที่ 30 ตุลาคม-1 พฤศจิกายนนี้ ที่เอ็นดูโร่ พาร์ค ไทยแลนด์ จัดขึ้นเพื่อเฟ้นหาทีมนักแข่งตัวแทนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะประกอบด้วยนักแข่งจากไทย 1 คน มาเลเซีย 1 คน และประเทศอื่นๆ (สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, ไต้หวัน และฮ่องกง) อีก 1 คน
ขณะเดียวกันนอกจากเปิดตัวสนามฝึกทางฝุ่นแล้ว ค่ายสองล้อหรูยังแนะนำ “บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ป๊อบอัพสโตร์” เอาท์เล็ทเคลื่อนที่ขนาดกลาง สำหรับจัดกิจกรรมพบปะคนรักบิ๊กไบค์ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างยิ่งขึ้น พร้อมกับมีลูกเล่นอุปกรณ์ตัวช่วยใหม่ล่าสุดที่เรียกว่า “Eye Ride” ซึ่งร่วมกับ ซัมซุง ประเทศไทย พัฒนาเทคโนโลยีการสร้างภาพเสมือนจริง (Virtual Reality) เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่เสมือนจริงในพื้นที่หรือสภาวะที่ไม่สามารถเข้าไปทดลองขับขี่ได้ด้วย
เท่านั้นไม่พอภายในป๊อบอัพสโตร์ ยังขโมยซีนจัดแสดงทัวริ่งตัวเก่งระดับพรีเมียมในค่าย ซึ่งเผยโฉมเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และเตรียมจะขึ้นไลน์ประกอบในบ้านเราเร็วๆ นี้ สำหรับ F 800 GT ขุมพลัง 2 สูบ ความจุ 798 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้กำลัง 90 แรงม้า แรงบิด 86 นิวตันเมตร โดยเคาะราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้วอยู่ที่ 510,000 บาท
ทั้งนี้เมื่อเสร็จสิ้นช่วงการให้ข้อมูลต่างๆ และแล้วก็ถึงเวลาที่คณะสื่อมวลชนได้สัมผัสสนามฝึกทางฝุ่นที่คนเยอรมันยังอิจฉากันแบบเต็มๆ โดยผู้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครูฝึกสอนในสนามคือ “ปฏิมา กองเพชร” หรือที่รู้จักกันดีในแวดวงสองล้อทางฝุ่นในชื่อ “ครูไก๋” จากSTORM Riding Academy ซึ่งเผยรายละเอียดเพิ่มเติมว่า
“สนามฝึกทางฝุ่นแบบครบวงจรที่มีทั้งตัวสนามขับขี่ อาคารสำนักงานอเนกประสงค์ พร้อมให้บริการเช่ารถฝึกขับขี่ด้วย แห่งนี้นับเป็นแห่งแรกในเอเชีย และพร้อมให้บริการสำหรับผู้ขับขี่บิ๊กไบค์ทุกยี่ห้อ โดยหลักสูตรที่เปิดสอนมี 3 เลเวล ไล่ตั้งแต่การปรับพื้นฐานจนถึงระดับขับขี่ท่องเที่ยวเดินทางไกลคนเดียวได้แบบหายห่วง”
โดยค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ที่ใช้รถตัวเองเรียน จ่ายเพียงคนละ 5,500 บาท ส่วนลูกค้าที่ใช้รถบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด คนละ 5,000 บาท (ราคานี้รวมอาหารกลางวัน) หรือหากกังวลกลัวพลาดแล้วรถจะเป็นรอย ที่นี่ก็มีให้บริการรถเช่าด้วย สำหรับรุ่น F 700 GS หรือ F 800 GS คันละ 3,000 บาท และรุ่น R1200 GS หรือ R1200 GS Adventure คันละ 4,000 บาท ซึ่งความพิเศษอยู่ที่ไม่ต้องจ่ายเพิ่มใดๆ หากตัวรถมีความเสียหายในพื้นที่เรียน หรือให้เข้าใจง่ายว่าเช่าแล้วสามารถล้มแบบบุฟเฟ่ต์ได้เลยนั่นเอง
อย่างไรก็ตามด้านประสบการณ์ในสนามออฟโรด ด้วยเวลาอันจำกัดเพียง 1 ชั่วโมง 30 นาที (คอร์สเรียนปกติใช้เวลาตั้งแต่ 9.00-15.00 น.) ทีมงานผู้ฝึกสอนจึงค่อนข้างรวบรัดทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ แต่ถึงอย่างไรก็เชื่อว่าประโยชน์ที่ได้รับจากการเข้าอบรมครั้งนี้จะส่งผลให้คณะสื่อมวลชนได้ทักษะการขับขี่ใหม่ๆ ของสองล้อประเภททางฝุ่นไม่มากก็น้อย
หากครั้งหน้ามีโอกาสติวเข็มแบบเต็มคอร์สใน “เอ็นดูโร่ พาร์ค ไทยแลนด์” จะรีบนำรายละเอียดเทคนิคที่เจาะลึกมาบอกเล่ากันต่อไป...
หมายเหตุ-สนใจสอบถามข้อมูลการฝึกอบรมได้ที่ 082-441-0777
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring
กิจกรรมการเปิดสนาม เอ็นดูโร่ พาร์ค ไทยแลนด์ (Enduro Park Thailand) ในครั้งนี้ บอสใหญ่ “มาร์คุส โจฮันเนส เกลเซอร์” ผู้จัดการทั่วไป บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย กล่าวถึงที่มาที่ไปของสนามแห่งนี้ว่า “บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ด้วยยอดขายที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในทุกๆ ปี ตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เรายังเสริมความแข็งแกร่งด้วยการนำเสนอมอเตอร์ไซค์ที่ประกอบในประเทศไทยหลายรุ่น และการเปิดโชว์รูมของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เพิ่มขึ้น สนาม เอ็นดูโร่ พาร์ค ไทยแลนด์ แห่งนี้ จะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่เติมเต็มประสบการณ์ให้กับคนรักบิ๊กไบค์ชาวไทย ได้มีโอกาสสัมผัสโลกแห่งการขับขี่ในแบบบีเอ็มดับเบิลยู”
สำหรับเอ็นดูโร่ พาร์ค ไทยแลนด์ ตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอันร่มรื่นของสวนผลไม้ ริมบึงน้ำขนาดใหญ่ในเขตบางบอน สามารถเข้า-ออกได้สองทางจากถนนเอกชัยและบางบอน 3 (เพชรเกษมซอย 69) ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากใจกลางเมืองเพียง 30 นาที มีพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด 13,500 ตารางเมตร ประกอบด้วยสถานีฝึกขับขี่สไตล์ออฟโรด 15 สถานี และอาคารสำนักงาน โดยสนามฝึกแห่งนี้ได้รับการออกแบบถูกต้องตามมาตรฐานสากลของบีเอ็มดับเบิลยูในต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นสนามฝึกการขับขี่มอเตอร์ไซค์สไตล์เอ็นดูโร่ ที่ครอบคลุมทักษะการใช้งานมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยูในตระกูล GS ทุกรุ่น ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของทีมผู้ฝึกสอนซึ่งมีความเชี่ยวชาญระดับแถวหน้าของเมืองไทย
“เมื่อเทียบกับสนามฝึกขับขี่ที่เยอรมันจะค่อนข้างอยู่ไกล ยกตัวอย่างจากเมืองมิวนิคที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้ว ยังต้องใช้เวลาเดินทางไป-กลับ อย่างน้อยถึง 4 ชั่วโมง ทำให้ผู้ที่ต้องการจะใช้สนามต้องวางแผนการเดินทางให้ดี หรือส่วนใหญ่ต้องแลกกับการใช้วันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อไปเข้าคอร์สขับขี่แทนที่จะได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ขณะที่สนามแห่งนี้ตอบโจทย์สำหรับคนเมืองโดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถเข้ามาใช้บริการได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว” บอสใหญ่ค่ายใบพัดสีฟ้าอธิบายถึงสิ่งที่นักบิดจากเมืองเบียร์ยังต้องอิจฉา พร้อมเล่าถึงความสำคัญของสนามต่อว่า
“นอกจากนี้ยังประจวบเหมาะกับการที่ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน GS Trophy Southeast Asia Qualifier 2015 หรือเป็นการคัดเลือกตัวแทนจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้าร่วมชิงชัยในการแข่งขันระดับโลก International GS Trophy 2016 ซึ่งจะจัดขึ้นในภูมิภาคนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน”
เกี่ยวกับ GS Trophy เป็นการแข่งขันมอเตอร์ไซค์วิบากระดับโลก ของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 2 ปี โดยครั้งแรกเริ่มต้นในปี 2551 (2008) ที่ประเทศตูนิเซีย จนถึงปัจจุบัน มีการจัดการแข่งขันมาแล้วทั้งสิ้น 4 ครั้ง สำหรับครั้งล่าสุดเมื่อปีที่แล้วมีผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 16 ทีม จาก 18 ประเทศ และการแข่งขันครั้งต่อไปในปี 2559 (2016) จะจัดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแต่ละทีมจะมีนักแข่งจำนวน 3 คน พร้อมด้วยสื่อมวลชนอีก 1 คน ที่จะร่วมทำข่าวตลอดการแข่งขัน
โดยศึกชิงแชมป์สองล้อทางฝุ่นในปีหน้าจะมีตัวแทนจากประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขันด้วย 1 คนอย่างแน่นอน เพราะการแข่งขันรอบคัดเลือกในวันที่ 30 ตุลาคม-1 พฤศจิกายนนี้ ที่เอ็นดูโร่ พาร์ค ไทยแลนด์ จัดขึ้นเพื่อเฟ้นหาทีมนักแข่งตัวแทนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะประกอบด้วยนักแข่งจากไทย 1 คน มาเลเซีย 1 คน และประเทศอื่นๆ (สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, ไต้หวัน และฮ่องกง) อีก 1 คน
ขณะเดียวกันนอกจากเปิดตัวสนามฝึกทางฝุ่นแล้ว ค่ายสองล้อหรูยังแนะนำ “บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ป๊อบอัพสโตร์” เอาท์เล็ทเคลื่อนที่ขนาดกลาง สำหรับจัดกิจกรรมพบปะคนรักบิ๊กไบค์ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างยิ่งขึ้น พร้อมกับมีลูกเล่นอุปกรณ์ตัวช่วยใหม่ล่าสุดที่เรียกว่า “Eye Ride” ซึ่งร่วมกับ ซัมซุง ประเทศไทย พัฒนาเทคโนโลยีการสร้างภาพเสมือนจริง (Virtual Reality) เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่เสมือนจริงในพื้นที่หรือสภาวะที่ไม่สามารถเข้าไปทดลองขับขี่ได้ด้วย
เท่านั้นไม่พอภายในป๊อบอัพสโตร์ ยังขโมยซีนจัดแสดงทัวริ่งตัวเก่งระดับพรีเมียมในค่าย ซึ่งเผยโฉมเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และเตรียมจะขึ้นไลน์ประกอบในบ้านเราเร็วๆ นี้ สำหรับ F 800 GT ขุมพลัง 2 สูบ ความจุ 798 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้กำลัง 90 แรงม้า แรงบิด 86 นิวตันเมตร โดยเคาะราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้วอยู่ที่ 510,000 บาท
ทั้งนี้เมื่อเสร็จสิ้นช่วงการให้ข้อมูลต่างๆ และแล้วก็ถึงเวลาที่คณะสื่อมวลชนได้สัมผัสสนามฝึกทางฝุ่นที่คนเยอรมันยังอิจฉากันแบบเต็มๆ โดยผู้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครูฝึกสอนในสนามคือ “ปฏิมา กองเพชร” หรือที่รู้จักกันดีในแวดวงสองล้อทางฝุ่นในชื่อ “ครูไก๋” จากSTORM Riding Academy ซึ่งเผยรายละเอียดเพิ่มเติมว่า
“สนามฝึกทางฝุ่นแบบครบวงจรที่มีทั้งตัวสนามขับขี่ อาคารสำนักงานอเนกประสงค์ พร้อมให้บริการเช่ารถฝึกขับขี่ด้วย แห่งนี้นับเป็นแห่งแรกในเอเชีย และพร้อมให้บริการสำหรับผู้ขับขี่บิ๊กไบค์ทุกยี่ห้อ โดยหลักสูตรที่เปิดสอนมี 3 เลเวล ไล่ตั้งแต่การปรับพื้นฐานจนถึงระดับขับขี่ท่องเที่ยวเดินทางไกลคนเดียวได้แบบหายห่วง”
โดยค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ที่ใช้รถตัวเองเรียน จ่ายเพียงคนละ 5,500 บาท ส่วนลูกค้าที่ใช้รถบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด คนละ 5,000 บาท (ราคานี้รวมอาหารกลางวัน) หรือหากกังวลกลัวพลาดแล้วรถจะเป็นรอย ที่นี่ก็มีให้บริการรถเช่าด้วย สำหรับรุ่น F 700 GS หรือ F 800 GS คันละ 3,000 บาท และรุ่น R1200 GS หรือ R1200 GS Adventure คันละ 4,000 บาท ซึ่งความพิเศษอยู่ที่ไม่ต้องจ่ายเพิ่มใดๆ หากตัวรถมีความเสียหายในพื้นที่เรียน หรือให้เข้าใจง่ายว่าเช่าแล้วสามารถล้มแบบบุฟเฟ่ต์ได้เลยนั่นเอง
อย่างไรก็ตามด้านประสบการณ์ในสนามออฟโรด ด้วยเวลาอันจำกัดเพียง 1 ชั่วโมง 30 นาที (คอร์สเรียนปกติใช้เวลาตั้งแต่ 9.00-15.00 น.) ทีมงานผู้ฝึกสอนจึงค่อนข้างรวบรัดทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ แต่ถึงอย่างไรก็เชื่อว่าประโยชน์ที่ได้รับจากการเข้าอบรมครั้งนี้จะส่งผลให้คณะสื่อมวลชนได้ทักษะการขับขี่ใหม่ๆ ของสองล้อประเภททางฝุ่นไม่มากก็น้อย
หากครั้งหน้ามีโอกาสติวเข็มแบบเต็มคอร์สใน “เอ็นดูโร่ พาร์ค ไทยแลนด์” จะรีบนำรายละเอียดเทคนิคที่เจาะลึกมาบอกเล่ากันต่อไป...
หมายเหตุ-สนใจสอบถามข้อมูลการฝึกอบรมได้ที่ 082-441-0777
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring