เอ็มจีในประเทศไทย เปิดตัวนวัตกรรมล่าสุด “inkaNet” ระบบการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์เอ็มจี ระบบแรกในตลาดที่ทำงานบนเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สาย ช่วยเพิ่มความความปลอดภัยสูงสุดกับระบบติดตามรถยนต์แบบเรียลไทม์ และตรวจวิเคราะห์สภาพรถยนต์แบบรีโมท ช่วยเช็คความผิดปกติในระหว่างขับรถได้ทันที รวมถึงระบบนำทางที่ช่วยให้เดินเป็นไปอย่างง่ายๆ เผยเตรียมติดตั้งในรถยนต์เอ็มจีใหม่ทุกรุ่น ที่จะเปิดตัวทำตลาดในไทยตั้งแต่ครึ่งหลังปีนี้เป็นต้นไป
หวู่ ฮวน กรรมการผู้จัดการบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เปิดเผยว่า inkaNet เป็นนวัตกรรมแห่งอนาคต ที่สะท้อนเทรนด์การใช้ชีวิตแบบสมัยใหม่ ซึ่งอินเทอร์เน็ตเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในทุกวินาทีของชีวิต หรือที่เรียกว่า “Internet of Things” ยุคที่เราสื่อสารกันผ่านอุปกรณ์สื่อสารไร้สาย และช่วยทำหน้าที่เป็นศูนย์ข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญ เอ็มจีมองเห็นเทรนด์นี้ จึงได้เริ่มพัฒนาและเริ่มนำ inkaNet มาให้ลูกค้าได้ใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 และวันนี้เอ็มจีในประเทศไทย ได้นำเทคโนโลยีที่พิสูจน์ประสิทธิภาพแล้วมาให้ลูกค้าในประเทศไทยได้ใช้งานกัน ช่วยให้ลูกค้าสั่งการและสื่อสารกับรถยนต์เอ็มจีได้ทุกที่ทุกเวลา
“inkaNet จะเป็นนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เพราะเราจะนำเทคโนโลยีระดับโลกนี้มาติดตั้งเป็นมาตรฐานในรถยนต์ทุกรุ่นของเอ็มจี ที่จะออกสู่ตลาดตั้งแต่ครึ่งหลังของปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้ลูกค้าเอ็มจีในประเทศไทยได้รับประโยชน์จากระบบการสื่อสารอัจฉริยะระหว่างรถและผู้ขับขี่ ที่พัฒนาจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญระดับโลกของเอ็มจี ที่เกิดจากความเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง เราเชื่อว่า inkaNet จะช่วยให้ลูกค้าชาวไทยได้รับความสะดวกและมั่นใจมากยิ่งขึ้นกับความปลอดภัยเหนือระดับจากเอ็มจี ด้วยเทคโนโลยีเทเลเมติกส์ที่ทำให้รถและผู้ขับขี่เป็นหนึ่งเดียวกัน มีข้อมูลเหมือนกัน”
โดย inkaNet คือระบบที่ใช้สื่อสารระหว่างรถยนต์เอ็มจีกับผู้ขับขี่ โดยเชื่อมต่อกันผ่าน T-Box ซึ่งเป็นชุดการสื่อสารบนเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สายในรถที่ติดตั้งมาจากโรงงาน ซึ่งบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ (SAIC Motor) พัฒนาขึ้น และเปิดตัวเป็นครั้งแรกในตลาดจีนเมื่อปีพ.ศ. 2553 และพัฒนาเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานเพิ่มเติมจากความบันเทิงแบบเรียลไทม์ในระยะแรก ให้ครอบคลุมระบบนำทาง และความปลอดภัยของรถยนต์
ฮวนเปิดเผยว่า สำหรับฟังก์ชั่นหลักของ inkaNet ได้แก่ My Vehicle, Showroom แคตาล็อกข้อมูลรถและการขอจองคิวทดสอบรถ และ Personal Center สำหรับการลงทะเบียนและตั้งค่าต่างๆ โดยฟังก์ชั่นในกลุ่ม My Vehicle ประกอบด้วยระบบความปลอดภัยและระบบนำทาง ซึ่งเอ็มจีได้พัฒนาระบบติดตามรถยนต์แบบเรียลไทม์ (Real-time Vehicle Monitoring) ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งของรถยนต์ตลอดเวลา โดยเฉพาะในกรณีที่รถยนต์ถูกขโมยจะสามารถติดตามตำแหน่งของรถเพื่อค้นหารถได้อย่างรวดเร็ว และสามารถใช้เป็นหลักฐานประกอบในการจับกุมคนร้ายได้ด้วย
ฟังก์ชั่นการตรวจวิเคราะห์รถยนต์แบบรีโมท (Remote Vehicle Diagnosis) เป็นคุณสมบัติสำคัญที่ช่วยให้ตรวจสอบปัญหาด้านเทคนิคของเครื่องยนต์ ซึ่งนอกจากจะให้ความสะดวกแก่ผู้ขับขี่แล้ว ยังลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุด้วย
ระบบการแจ้งเตือนความผิดปกติ (Vehicle Alarm) อื่นๆ เช่น การเคลื่อนรถยนต์ที่ผิดปกติ การเตือนเมื่อมีการสตาร์ทเครื่องยนต์ ที่ให้ความสะดวกและปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้ขับขี่ในการติดตามสถานะและข้อมูลล่าสุดของรถ และอีกฟังก์ชั่นเด่นคือการตรวจสอบสถานะการทำงานของรถ (Vehicle Status Update) เช่น ระยะทาง ปริมาณน้ำมัน ประตูปิดสนิทหรือไม่ เป็นต้น และฟังก์ชั่น การควบคุมการทำงานของรถ (Remote Vehicle Controlling) ซึ่งให้ความสะดวกในการสั่งเปิด/ปิดประตูรถ หรือเมื่อจอดรถในลานจอดขนาดใหญ่ที่อาจหารถไม่พบ ก็สามารถสั่งการผ่านแอพพลิชั่นบนสมาร์ทโฟนให้รถกะพริบไฟหน้าเพื่อให้มองเห็นได้ง่าย
นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชั่นอื่นๆ เช่น ระบบนำทางที่บอกตำแหน่งของรถ และสถานที่ที่สนใจ (Point of Interest) รวมทั้งแนะนำเส้นทางที่มีการจราจรสะดวกที่สุดด้วย ซึ่งในการใช้งานครั้งแรก ผู้ขับขี่จะต้องลงทะเบียนรถ และผู้ใช้ เพื่อความปลอดภัย โดยสามารถใช้งานผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และผ่านคอลเซ็นเตอร์
“inkaNet คือนวัตกรรมที่เกิดจากความเข้าใจในความต้องการของลูกค้าจริงๆ โดยมีการลงทุนด้านการทำวิจัยและพัฒนา การสร้างสรรค์นวัตกรรม ระบบ inkaNet นี้สะท้อนแนวคิด Brit Dynamic ของเอ็มจีคือ การออกแบบรถยนต์ที่เกิดจากความเข้าใจความต้องการของผู้ขับขี่ ให้ทั้งสมรรถนะ การควบคุมที่มีประสิทธิภาพ และความปลอดภัยเหนือระดับ ซึ่งจะช่วยให้คนไทยได้รับประสบการณ์ในการขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเอ็มจีที่จะเติบโตไปคู่กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และนำเสนอนวัตกรรมเพื่อประโยชน์ของลูกค้าทุกคน” หวู่ ฮวนกล่าวและว่า
สำหรับการดำเนินงานของเอ็มจีในประเทศไทยช่วงครึ่งแรกของปีนี้ น่าจะสามารถส่งมอบรถไปได้ประมาณ 1,000 คัน โดยเป็นรถยนต์นั่งซับคอมแพ็กต์รุ่นเอ็มจี3 จำนวน 700 คัน โดยมียอดค้างส่งมอบอีกประมาณ 1 พันคัน และถึงสิ้นปีจะมียอดขายรถยนต์เอ็มจีทั้งหมดประมาณ 6,000 คัน ส่วนที่ตัวเลขการขายช่วงครึ่งปีแรกกับช่วงหลังของปีจะแตกต่างกันมาก เพราะเพิ่งเปิดตัวรถยนต์รุ่นเอ็มจี3 ไปเมื่อปลายเดือนมีนาคม และกว่าจะเริ่มส่งมอบอีกเป็นเดือน ทำให้ระยะเวลาทำตลาดจริงๆ เพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น แต่จากนี้ไปจะทำตลาดได้เต็มที่ รวมถึงการร่วมงานแสดงรถยนต์ต่างๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง และการเปิดตัวรถใหม่อีก 2-3 รุ่น จึงเชื่อมั่นจะบรรลุการขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในปีนี้
หวู่ ฮวน กรรมการผู้จัดการบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เปิดเผยว่า inkaNet เป็นนวัตกรรมแห่งอนาคต ที่สะท้อนเทรนด์การใช้ชีวิตแบบสมัยใหม่ ซึ่งอินเทอร์เน็ตเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในทุกวินาทีของชีวิต หรือที่เรียกว่า “Internet of Things” ยุคที่เราสื่อสารกันผ่านอุปกรณ์สื่อสารไร้สาย และช่วยทำหน้าที่เป็นศูนย์ข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญ เอ็มจีมองเห็นเทรนด์นี้ จึงได้เริ่มพัฒนาและเริ่มนำ inkaNet มาให้ลูกค้าได้ใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 และวันนี้เอ็มจีในประเทศไทย ได้นำเทคโนโลยีที่พิสูจน์ประสิทธิภาพแล้วมาให้ลูกค้าในประเทศไทยได้ใช้งานกัน ช่วยให้ลูกค้าสั่งการและสื่อสารกับรถยนต์เอ็มจีได้ทุกที่ทุกเวลา
“inkaNet จะเป็นนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เพราะเราจะนำเทคโนโลยีระดับโลกนี้มาติดตั้งเป็นมาตรฐานในรถยนต์ทุกรุ่นของเอ็มจี ที่จะออกสู่ตลาดตั้งแต่ครึ่งหลังของปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้ลูกค้าเอ็มจีในประเทศไทยได้รับประโยชน์จากระบบการสื่อสารอัจฉริยะระหว่างรถและผู้ขับขี่ ที่พัฒนาจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญระดับโลกของเอ็มจี ที่เกิดจากความเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง เราเชื่อว่า inkaNet จะช่วยให้ลูกค้าชาวไทยได้รับความสะดวกและมั่นใจมากยิ่งขึ้นกับความปลอดภัยเหนือระดับจากเอ็มจี ด้วยเทคโนโลยีเทเลเมติกส์ที่ทำให้รถและผู้ขับขี่เป็นหนึ่งเดียวกัน มีข้อมูลเหมือนกัน”
โดย inkaNet คือระบบที่ใช้สื่อสารระหว่างรถยนต์เอ็มจีกับผู้ขับขี่ โดยเชื่อมต่อกันผ่าน T-Box ซึ่งเป็นชุดการสื่อสารบนเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สายในรถที่ติดตั้งมาจากโรงงาน ซึ่งบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ (SAIC Motor) พัฒนาขึ้น และเปิดตัวเป็นครั้งแรกในตลาดจีนเมื่อปีพ.ศ. 2553 และพัฒนาเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานเพิ่มเติมจากความบันเทิงแบบเรียลไทม์ในระยะแรก ให้ครอบคลุมระบบนำทาง และความปลอดภัยของรถยนต์
ฮวนเปิดเผยว่า สำหรับฟังก์ชั่นหลักของ inkaNet ได้แก่ My Vehicle, Showroom แคตาล็อกข้อมูลรถและการขอจองคิวทดสอบรถ และ Personal Center สำหรับการลงทะเบียนและตั้งค่าต่างๆ โดยฟังก์ชั่นในกลุ่ม My Vehicle ประกอบด้วยระบบความปลอดภัยและระบบนำทาง ซึ่งเอ็มจีได้พัฒนาระบบติดตามรถยนต์แบบเรียลไทม์ (Real-time Vehicle Monitoring) ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งของรถยนต์ตลอดเวลา โดยเฉพาะในกรณีที่รถยนต์ถูกขโมยจะสามารถติดตามตำแหน่งของรถเพื่อค้นหารถได้อย่างรวดเร็ว และสามารถใช้เป็นหลักฐานประกอบในการจับกุมคนร้ายได้ด้วย
ฟังก์ชั่นการตรวจวิเคราะห์รถยนต์แบบรีโมท (Remote Vehicle Diagnosis) เป็นคุณสมบัติสำคัญที่ช่วยให้ตรวจสอบปัญหาด้านเทคนิคของเครื่องยนต์ ซึ่งนอกจากจะให้ความสะดวกแก่ผู้ขับขี่แล้ว ยังลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุด้วย
ระบบการแจ้งเตือนความผิดปกติ (Vehicle Alarm) อื่นๆ เช่น การเคลื่อนรถยนต์ที่ผิดปกติ การเตือนเมื่อมีการสตาร์ทเครื่องยนต์ ที่ให้ความสะดวกและปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้ขับขี่ในการติดตามสถานะและข้อมูลล่าสุดของรถ และอีกฟังก์ชั่นเด่นคือการตรวจสอบสถานะการทำงานของรถ (Vehicle Status Update) เช่น ระยะทาง ปริมาณน้ำมัน ประตูปิดสนิทหรือไม่ เป็นต้น และฟังก์ชั่น การควบคุมการทำงานของรถ (Remote Vehicle Controlling) ซึ่งให้ความสะดวกในการสั่งเปิด/ปิดประตูรถ หรือเมื่อจอดรถในลานจอดขนาดใหญ่ที่อาจหารถไม่พบ ก็สามารถสั่งการผ่านแอพพลิชั่นบนสมาร์ทโฟนให้รถกะพริบไฟหน้าเพื่อให้มองเห็นได้ง่าย
นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชั่นอื่นๆ เช่น ระบบนำทางที่บอกตำแหน่งของรถ และสถานที่ที่สนใจ (Point of Interest) รวมทั้งแนะนำเส้นทางที่มีการจราจรสะดวกที่สุดด้วย ซึ่งในการใช้งานครั้งแรก ผู้ขับขี่จะต้องลงทะเบียนรถ และผู้ใช้ เพื่อความปลอดภัย โดยสามารถใช้งานผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และผ่านคอลเซ็นเตอร์
“inkaNet คือนวัตกรรมที่เกิดจากความเข้าใจในความต้องการของลูกค้าจริงๆ โดยมีการลงทุนด้านการทำวิจัยและพัฒนา การสร้างสรรค์นวัตกรรม ระบบ inkaNet นี้สะท้อนแนวคิด Brit Dynamic ของเอ็มจีคือ การออกแบบรถยนต์ที่เกิดจากความเข้าใจความต้องการของผู้ขับขี่ ให้ทั้งสมรรถนะ การควบคุมที่มีประสิทธิภาพ และความปลอดภัยเหนือระดับ ซึ่งจะช่วยให้คนไทยได้รับประสบการณ์ในการขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเอ็มจีที่จะเติบโตไปคู่กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และนำเสนอนวัตกรรมเพื่อประโยชน์ของลูกค้าทุกคน” หวู่ ฮวนกล่าวและว่า
สำหรับการดำเนินงานของเอ็มจีในประเทศไทยช่วงครึ่งแรกของปีนี้ น่าจะสามารถส่งมอบรถไปได้ประมาณ 1,000 คัน โดยเป็นรถยนต์นั่งซับคอมแพ็กต์รุ่นเอ็มจี3 จำนวน 700 คัน โดยมียอดค้างส่งมอบอีกประมาณ 1 พันคัน และถึงสิ้นปีจะมียอดขายรถยนต์เอ็มจีทั้งหมดประมาณ 6,000 คัน ส่วนที่ตัวเลขการขายช่วงครึ่งปีแรกกับช่วงหลังของปีจะแตกต่างกันมาก เพราะเพิ่งเปิดตัวรถยนต์รุ่นเอ็มจี3 ไปเมื่อปลายเดือนมีนาคม และกว่าจะเริ่มส่งมอบอีกเป็นเดือน ทำให้ระยะเวลาทำตลาดจริงๆ เพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น แต่จากนี้ไปจะทำตลาดได้เต็มที่ รวมถึงการร่วมงานแสดงรถยนต์ต่างๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง และการเปิดตัวรถใหม่อีก 2-3 รุ่น จึงเชื่อมั่นจะบรรลุการขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในปีนี้