xs
xsm
sm
md
lg

พิสูจน์ “โคโรลลา อัลติส” ที่นูร์เบอร์กริง...จากสนามแข่งสุดโหดสู่รถบ้านสุดเท่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ความหนาว 10 องศา สภาพอากาศครึ้มเข้ม ฝนปรอยบางๆในวันหยุดสุดสัปดาห์ ผู้คนหลักแสน นักข่าวร่วม 1,000 ชีวิต ฮอลิคอปเตอร์อีก 6 ลำ มาร่วมติดตามการแข่งขันรถยนต์สุดอึด ในสนามระดับตำนานของประเทศเยอรมนี


ถ้าพูดถึงการแข่งขันรถยนต์แบบเอ็นดูรานซ์ 24 ชั่วโมง หนึ่งในรายการระดับโลกที่ได้การยอมรับจากนักแข่ง ค่ายผู้ผลิต และสาวกมอเตอร์สปอร์ต คงต้องยกให้“นูร์เบอร์กริง 24 ชั่วโมง” ซึ่งถือเป็นท็อปทรีของวงการ ชื่อชั้นไม่เป็นรอง “เลอมังส์”ของฝรั่งเศษและ “สปา” ที่อิตาลี

ปีนี้โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ยังประกาศศักดาด้วยการส่งเก๋งคอมแพกต์รุ่นดัง“โคโรลลา อัลติส” เข้าแข่งขันในรายการดังกล่าวเป็นปีที่สองติดต่อกัน ด้วยรถ 2 คัน พร้อมนักขับ 8 คนในคลาส SP3 ซึ่งคลาสนี้ “อัลติส” เป็นรถจากญี่ปุ่นเพียงรุ่นเดียว แถมเป็นทีมจากเมืองไทยที่เข้าไปชนขาใหญ่ในยุโรปทั้ง โอเปิล(แอสตรา) เรโนลต์ (คลิโอ)

สำหรับรายการ “นูร์เบอร์กริง 24 ชั่วโมง” เริ่มจัดครั้งแรกในปี 1970 โดยสมาพันธ์ยานยนต์แห่งประเทศเยอรมัน (ADAC - Allgemeiner Deutscher Automobil Club) ปีนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการ(ตามชื่อผู้สนับสนุนซึ่งเป็นบริษัทประกัน) ว่า ADAC Zurich 24hrs Nurburgring โปรแกรมจริงๆเริ่มตั้งแต่ 14-17 พฤษภาคม 2015



โดยผู้จัดได้กำหนดกฎ กติกา ของผู้ที่จะลงแข่งขันในรายการนี้ว่า ต้องมีประสบการณ์ในการขับสนาม นูเบอร์กริงเต็มแทรก 26 กิโลเมตร และมีชั่วโมงสะสมไม่น้อยกว่าคนละ 6 ชั่วโมง ในรายการ VLN(Veranstaltergemeinschaft Langstreckenpokal Nürburgring) ที่จัดโดยผู้บริหารเมืองนูร์เบอร์ก ถึงจะได้รับใบอนุญาตและสามารถเข้าร่วมการแข่งขันในรายการ นูร์เบอร์กริง 24 ชั่วโมงต่อไปได้
ส่วนรถยนต์ที่นำมาใช้ในการแข่งขันต้องเป็นรถยนต์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นรถในรูปแบบโปรดักชั่นคาร์ หรือรถที่จำหน่ายอยู่ในโชว์รูมและสามารถโมดิฟายด์ได้บางส่วน

สำหรับโคโรลลา อัลติสของโตโยต้า ทีมไทยแลนด์ คันแรกใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร คันที่สองใช้เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร มีการปรับแต่งตามกฎของผู้จัด แต่โครงสร้างหลักและเครื่องยนต์ยังต้องใช้ของเดิมที่ติดมากับรถ

โคโรลลา อัลติส รุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร (เบอร์ 149) นำโดย สุทธิพงศ์ สมิตชาติ พร้อมด้วยนักขับมือเก๋า ณัฐวุฒิ เจริญสุขะวัฒนะ,ณัฐพงษ์ ห่อทองคำ และกันตศักดิ์ กุศิริ

ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร เน้นนักขับรุ่นใหม่อย่าง กรัณฑ์ ศุภพงษ์,เฉิน เจี้ยน หงษ์,มานัต กุละปาลานนท์ และอาทิตย์ เรืองสมบูรณ์

“สุทธิพงศ์ สมิตชาติ” ผู้ควบคุมทีมและประธานบริษัท ทีอาร์ดี ประเทศไทย บอกว่า การแข่งขันในปีนี้ ทีมมีความพร้อมมากกว่าเดิม ทั้ังตัวรถ นักแข่ง และทีมงาน ด้วยการวางแผนซ้อมล่วงหน้าในสนามจริงถึง 3 เดือน อย่างผลทดสอบก็แสดงให้เห็นว่าสามารถทำเวลาต่อรอบดีกว่าปีที่แล้ว

“ปีก่อนเราใช้รถแบบเดิมๆ มาปรับเแค่โช้กอัพ สปริง แต่ปีนี้เรารู้แล้วว่าอะไรขาดไปก็หามาเติม เพราะการแข่งขันรายการนี้เน้นทดสอบสมรรถนะในเชิงความแรงและความอึด ส่วนคนขับอาจจะมีความเครียดมากกว่าการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบประเภทอื่น”



สุทธิพงษ์บอกว่า นอกเหนือจากระบบขับเคลื่อนแล้ว เรื่องทัศนวิสัยของการขับขี่ถือว่าสำคัญกับการขับแบบ 24 ชั่วโมงทั้งกลางวันกลางคืน ซึ่งกลางคืนจะมีเพียงไฟส่องสว่างจากรถเราเท่านั้น ไม่มีไฟสนาม ดังนั้นต้องพยายามเซ็ทรถให่้ตอบสนองนักแข่งมากที่สุด ทั้งการควบคุมและการมองเห็น เป้าหมายเพื่อลดความเครียดและให้มีสมาธิกับการขับขี่มากที่สุด

ส่วนการคัดเลือกนักแข่ง(อีก7 คน) ต้องพิจารณาเรื่องทัศนคติเป็นสำคัญ ซึ่งเกินครึ่งเป็นนักขับของโตโยต้า ทีมไทยแลนด์อยู่แล้ว ส่วนคนที่ถูกเลือกเข้ามาเพิ่มอย่าง “แบงค์” (กันตศักดิ์ กุศิริ) หรือ“จั้ม” (กรัณฑ์ ศุภพงษ์) ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคย คุยกันรู้เรื่อง จึงไม่มีปัญหาในการปรับตัวเข้าร่วมทีม

“ก่อนอื่นต้องปรับทัศนคติในการขับของนักแข่งก่อนเลย เพราะนี่เป็นการขับเป็นทีม ทีมเวิร์คจึงเป็นเรื่องสำคัญ ตัวผมไม่เน้นว่าจะต้องขับเร็ว ทำเวลาดี ตราบใดที่รถยังวิ่งได้ก็วิ่งไป สิ่งที่สำคัญและน่ากลัวมากที่สุดคืออุบัติเหตุ บางครั้งเราไม่ชนเขาแต่เขาก็มาชนเรา”

หลังจากขับเคี่ยวครบ 24 ชั่วโมง โดยเริ่มสตาร์ตั้งแต่ช่วง 4 โมงเย็นของวันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม ไปจนถึงเวลาเดียวกันของวันที่ 17 พฤษภาคม สุดท้ายมีรถแข่งจบ 102 คัน (จากที่ผ่านควอลิฟายด์ 151 คัน) ส่วนโคโรลา อัลติส รุ่น(พี่)ใหญ่เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร (เบอร์ 149) วิ่งจบได้ 111 รอบ ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร (เบอร์ 155) วิ่งได้ 109 รอบ ครองอันดับ 6 และ7 ของคลาส SP3 ตามลำดับ

การนำธงชาติไทยไปโบกสะบัดในรายการแข่งขันและสนามระดับโลกนับเป็นเรื่องน่ายินดี ส่วนอีกเรื่องคือการได้ทดสอบสมรรถนะในหลายๆด้านของโคโรลลา อัลติส เพื่อนำข้อมูลต่างๆมาให้วิศวกรโตโยต้าพัฒนารถยนต์ให้สมบูรณ์แบบต่อไป เหนืออื่นใดยังสามารถนำความสำเร็จนี้มาสื่อสารความสำเร็จต่อยอดทางการตลาดได้

ใครอยากได้กลิ่นของความภูมิใจ เชิญไปสัมผัส “โคโรลลา อัลติส นูเบอร์กริง อิดิชัน” ออกรถใหม่คันละเก้าแสนกว่าบาทเท่านั้นเอง







กำลังโหลดความคิดเห็น