เมื่อโครงสร้างภาษีเอื้อให้คนไทยเป็นเจ้าของรถยนต์ไฮบริด ด้วยการเก็บภาษีสรรพสามิตอัตรา 10% ตรงนี้เห็นความต่างชัดเจนกับรถหรูนำเข้าที่เครื่องใหญ่กำลังแรง จากต้องโดนภาษีรวมทุกตัว (ภาษีนำเข้า,ภาษีสรรพสามิต,ภาษีมหาดไทย,ภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีวิธีคิดที่ซับซ้อน) ระดับ 328% เมื่อประกบมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไปในระบบขับเคลื่อนจะเหลือจ่ายเพียง 116% เท่านั้น
….ด้วยราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น แถมได้ชื่อรถรักษ์โลก ปล่อยมลพิษต่ำ ประหยัดน้ำมัน บนเทคโนโลยีขับเคลื่อนอันทันสมัย ใครใช้ก็ภูมิใจละครับ
แนวทางนี้ถือว่าเข้าทาง “เอเอเอส ออโต้เซอร์วิส” ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เพราะทั้งไฮบริดรุ่น “คาเยนน์” และ “พานาเมรา” ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ยิ่งล่าสุดพัฒนาระบบไฮบริดให้เหนือชั้นขึ้นไปอีกระดับ เรียกว่าแบบ “ปลั๊ก-อิน” หรือสามารถเสียบชาร์จไฟบ้านได้ ยิ่งทำให้รถน่าสนใจมากขึ้น
สัปดาห์ที่แล้วผู้เขียนมีโอกาสได้ลอง “พานาเมรา เอส อี-ไฮบริด” (Panamera S E-Hybrid) แม้จะเปิดตัวในเมืองไทยตั้งแต่เดือนกันยายน 2556 หรือถ้านับไทม์ไลน์ของตัวโปรดักต์ “คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด” ก็ดูสดใหม่กว่า
ทว่าการทดสอบ“พานาเมรา เอส อี-ไฮบริด” ในครั้งนี้ ผู้เขียนต้องข้ามน้ำผ่านทะเลไปถึงประเทศสิงคโปร์ ไม่ได้เหินฟ้าไปเองนะครับ แต่นั่งเครื่องบินใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งความน่าสนใจอยู่ที่การได้สัมผัสสมรรถนะและจุดเด่นต่างๆของรถในรูปแบบการใช้งานจริง วิ่งรถตั้งแต่ 9 โมงเช้า ยัน 6 โมงเย็น มุดทุกซอก ออกทุกซอยรอบเกาะสิงคโปร์ กันเลยทีเดียว
สำหรับ“พานาเมรา เอส อี-ไฮบริด” ใครเดินผ่านก็รู้ครับว่าแตกต่างจากรุ่นเครื่องยนต์อื่นๆ เพราะสัญลักษณ์อักษรที่บ่งบอกรุ่นจะแต้มแต่งด้วยสีเขียวมะนาว ทั้งที่ติดอยู่กับประตูข้าง ฝากระโปรงหลัง และสีสันของคาลิเปอร์เบรก นอกจากนั้นยังมีช่องเสียบชาร์จไฟอยู่เหนือซุ้มล้อหลังซ้าย(เทียบกับทิศของคนขับพวงมาลัยขวา) ขณะที่ฝาถังน้ำมันจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน
ทริปนี้ทีมงาน ปอร์เช่ เอเชีย แปซิฟิก (เจ้าภาพในการทดสอบระดับภูมิภาค) กำหนดให้ออกจากโรงแรม คราวน์ พลาซา สนามบิน ชางฮี ที่อยู่ฝั่งตะวันออกของเกาะสิงคโปร์ แล้ววิ่งขึ้นเหนือไปยังสวนสัตว์ (Singapore Zoo) เส้นทางนี้มีระยะทางประมาณ 47 กิโลเมตร โดยเริ่มจากโหมดขับขี่ E-Power (หลังจากสตาร์ทรถ รถจะเริ่มขับเคลื่อนที่โหมดนี้เสมอ)
โหมดนี้รถพยายามขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งไฟที่ได้มาจากแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนที่วางอยู่ด้านหลัง ตามข้อมูลบอกว่า“พานาเมรา เอส อี-ไฮบริด”สามารถชาร์จไฟให้เต็ม 100% ได้ในเวลา 2.30 - 4.0 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับกำลังไฟ และสามารถขับได้ระยะทางจากระบบ E-Power สูงสุดถึง 36 กิโลเมตร
การขับจริงรถเงียบ เดินเรียบ แรงดีครับ ขณะที่หน้าจอจะแสดงผลว่าปัจจุบันรถกำลังขับเคลื่อนด้วยขุมพลังอะไร ซึ่งการเหยียบคันเร่งนุ่มๆ กดน้ำหนักลงไปสัก 60-70% รถจะวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าตลอด แต่ถ้าทะลึ่งลองของ เหยียบมิดให้รถคิกดาวน์ เครื่องยนต์ วี6 ขนาด 3.0 ลิตร ซูเปอร์ชาร์จ จะเข้ามาช่วยทำงานทันที ที่สำคัญยังมาแบบรวดเร็วฉุดกระชากพร้อมเสียงคำราม เล่นเอาผู้เขียนสะดิ้ง เอ้ย! สะดุ้งไปเหมือนกัน
...ขับไปเพลินๆ ตามองเส้นทางสลับกับหน้าจอแสดงระบบนำทาง ชื่นชมธรรมชาติและความเป็นระเบียบของบ้านเมืองพร้อมแลกเปลี่ยนความคิดไปกับนักข่าวอีกท่านหนึ่ง(ที่ยังไม่ได้ขับ) เห็นทั้งความสวยงามของสิ่งก่อสร้างแบบ man made ถนนหนทาง และต้นไม้ใหญ่ตลอดสองฝั่งถนนที่ถูกอนุรักษ์เอาไว้ รวมถึงสถานที่พักผ่อนอันร่มรื่นอีกหลายแห่ง
ผู้เขียนขับไปเรื่อยและมั่นใจว่าไม่หลงแน่ๆ แต่กลับไม่ทันสังเกตว่าโหมด E-Power ที่วิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆตัดการทำงานไปเมื่อไหร่ (จริงๆไฟฟ้าไม่น่าถูกใช้จนหมดเกลี้ยง ตามหลักการของแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน) แต่คร่าวๆตามความรู้สึกน่าจะวิ่งได้ประมาณ20 กิโลเมตร (แบตเตอรี่ไม่เต็มมาตั้งแต่แรก) และต่อจากนั้นระบบจะตัดเข้าสู่โหมด“ไฮบริด” ที่เครื่องยนต์จะทำงานเป็นหลัก ซึ่งโหมดนี้คล้ายๆไฮบริดแบบซีรีย์ผสมพาราเรลของโตโยต้าละครับ
กล่าวคือเครื่องยนต์จะคอยส่งกำลังไปยังเจเนอเรเตอร์ เพื่อปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ ควบคู่ไปกับทำหน้าที่ขับเคลื่อนรถโดยส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดลงสู่ล้อคู่หลัง เหนืออื่นใดในหลายๆจังหวะของการขับขี่ มอเตอร์ไฟฟ้า จะเข้ามาแบ่งเบาภาระของเครื่องยนต์(เมื่อแบตเตอรี่มีไฟในระดับพอสมควร) ด้วยเช่นกัน
โดยทำงานสอดประสานกันไประหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า แต่มากไปกว่านั้น “พานาเมรา เอส อี-ไฮบริด” ยังมีโหมด E-charge (ปุ่มกดอยู่ตรงคอนโซลกลาง) ซึ่งเครื่องยนต์ยังผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า เพียงแต่โหมดนี้จะสั่งให้เครื่องยนต์ตั้งใจส่งแรงไปปั่นไฟเก็บไว้ในแบตเตอรี่ให้มากขึ้น หรือมีเป้าหมายรักษาประจุไฟฟ้าให้ได้ 60%
อีกความแตกต่างที่สัมผัสได้ระหว่างขับโหมดไฮบริดปกติ กับ E-charge นั่นคือแหน่งเกียร์ โดยโหมดแรกรถพยายามใช้เกียร์สูง แถวๆเกียร์ 6-7-8 อยู่ตลอดเวลา แต่ในโหมดหลังจะมุ่งใช้เกียร์ต่ำแถวๆ เกียร์ 4-5 พร้อมการตอบสนองของคันเร่ง และการเบรกจะมีอาการหน่วงดึงมากกว่าโหมดไฮบริดปกติ
อย่างไรก็ตาม “พานาเมรา เอส อี-ไฮบริด” ยังเหลือช่องว่างเอาไว้ให้การขับแบบดุดันพอสมควร ด้วยโหมดสปอร์ตที่เครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง ช่วงล่าง การควบคุมจะเฉียบคมจัดจ้านมากขึ้น แต่การขับในโหมดนี้เอาเข้าจริงๆ ผู้เขียนก็ไม่กล้าจัดหนักอัดเต็มบนท้องถนนในประเทศสิงคโปร์ที่จำกัดความเร็วไว้ 90 กม./ชม.ละครับ
จากสวนสัตว์ทางเหนือ เราต้องขับลงใต้มาที่เกาะเซนโตซ่า แหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนชื่อดัง และที่แห่งนี้ผู้เขียนมีโอกาสได้ลองชาร์จไฟกับระบบปลั๊ก-อินของรถ
ที่ประเทศสิงค์โปร์จะมีจุดชาร์จไฟแบบเร่งด่วนให้กับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบ EV และ Plug-in Hybrid โดยรัฐบาลมอบหมายให้บริษัท Bosch เป็นผู้วางเครือข่ายตามที่จอดรถของแหล่งชอปปิ้งและสถานที่สำคัญต่างๆ ปัจจุบันมีประมาณ 60 จุด และจะเพิ่มเป็น 100 จุดในอนาคต
สำหรับการชาร์จไฟ เราต้องมีบัตรประจำตัวรถที่มีการลงทะเบียนหรือเสียค่าบริการเอาไว้แล้ว และเพียงแตะบัตรกับตู้ที่เรียกว่า eMobility Servicesจากนั้นถึงจะดึงหัวชาร์จมาเสียบกับรถยนต์ของเราได้
ผู้เขียนลองชาร์จไฟทิ้งไว้ประมาณชั่วโมงครึ่ง กลับเข้ามาพบว่าแบตเตอรี่มีความจุถึง 70% ซึ่งตัวรถจะแจ้งให้ผู้ขับทราบทันทีว่า ปริมาณไฟระดับนี้รถสามารถขับด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนหรือ E-power ได้ 17 กิโลเมตร
หลังจากลองชาร์จและขับจนหมดโหมด E-power เข้าสู่โหมดไฮบริด สลับเปลี่ยนเป็น E-charge และโหมดสปอร์ตบ้าง วนรอบเกาะกลับมาถึงโรงแรมรวมระยะทางในทริปนี้ 235 กิโลเมตร
สรุปสั้นๆสำหรับ“พานาเมรา เอส อี-ไฮบริด” โดยเฉพาะการขับในโหมด E-power ผู้เขียนประทับใจเรี่ยวแรงที่ให้ความต่อเนื่อง อัตราเร่งดีทุกครั้งที่เติมคันเร่ง ภายในห้องโดยสารเงียบ ช่วงล่างนุ่มหนึบ ตัวรถเหมือนจะเทอะทะไปนิดแต่ขับจริงไม่ถึงกับอุ้ยอ้าย ที่สำคัญโหมดนี้ ผู้ขับสามารถเร่งความเร็วกะทันหันภายในเสี้ยววินาที ด้วยการกดคิกดาวน์หนักๆ พลังจากเครื่องยนต์จะเข้ามาเสริมทัพทันที ส่งให้รถพุ่งทะยานดังใจ
เพียงแต่การขับในโหมดนี้ยังมีข้อจำกัดที่รถจะวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆได้ระยะทางน้อยไปนิด แต่ถ้าคิดกลับกันว่านี่คือรถยนต์ปอร์เช่ที่ยังคงบุคลิกการขับสไตล์สปอร์ตเร้าใจเอาไว้ (เพราะยังเลือกวางเครื่องยนต์ วี6 ขนาด 3.0 ลิตร ซูเปอร์ชาร์จ) และได้อัตราบริโภคน้ำมันที่เป็นมิตรมากขึ้น แถมมีโหมดการขับขี่ให้เลือกตามความพอใจ พร้อมความอเนกประสงค์ใช้งานได้จริงในทุกวันกับราคาที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ดูเป็นรถอัจฉริยะที่คุ้มค่าทางเทคโนโลยีและการตอบสนองด้านอารมณ์
...หนึ่งวันเต็มกับระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร ที่สุดผู้เขียนพบว่าทั้ง “สิงคโปร์” และ“พานาเมรา เอส อี-ไฮบริด” เหมือนกันตรงความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงให้ตนเองพัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย และรุดหน้าในธุรกิจ(เศรษฐกิจ) คู่ขนานไปกับบทบาทรักษ์โลก รักษาสิ่งแวดล้อมเอาไว้ให้มากที่สุด
แปะท้ายทุกข่าวในเว็บ
….ด้วยราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น แถมได้ชื่อรถรักษ์โลก ปล่อยมลพิษต่ำ ประหยัดน้ำมัน บนเทคโนโลยีขับเคลื่อนอันทันสมัย ใครใช้ก็ภูมิใจละครับ
แนวทางนี้ถือว่าเข้าทาง “เอเอเอส ออโต้เซอร์วิส” ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เพราะทั้งไฮบริดรุ่น “คาเยนน์” และ “พานาเมรา” ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ยิ่งล่าสุดพัฒนาระบบไฮบริดให้เหนือชั้นขึ้นไปอีกระดับ เรียกว่าแบบ “ปลั๊ก-อิน” หรือสามารถเสียบชาร์จไฟบ้านได้ ยิ่งทำให้รถน่าสนใจมากขึ้น
สัปดาห์ที่แล้วผู้เขียนมีโอกาสได้ลอง “พานาเมรา เอส อี-ไฮบริด” (Panamera S E-Hybrid) แม้จะเปิดตัวในเมืองไทยตั้งแต่เดือนกันยายน 2556 หรือถ้านับไทม์ไลน์ของตัวโปรดักต์ “คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด” ก็ดูสดใหม่กว่า
ทว่าการทดสอบ“พานาเมรา เอส อี-ไฮบริด” ในครั้งนี้ ผู้เขียนต้องข้ามน้ำผ่านทะเลไปถึงประเทศสิงคโปร์ ไม่ได้เหินฟ้าไปเองนะครับ แต่นั่งเครื่องบินใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งความน่าสนใจอยู่ที่การได้สัมผัสสมรรถนะและจุดเด่นต่างๆของรถในรูปแบบการใช้งานจริง วิ่งรถตั้งแต่ 9 โมงเช้า ยัน 6 โมงเย็น มุดทุกซอก ออกทุกซอยรอบเกาะสิงคโปร์ กันเลยทีเดียว
สำหรับ“พานาเมรา เอส อี-ไฮบริด” ใครเดินผ่านก็รู้ครับว่าแตกต่างจากรุ่นเครื่องยนต์อื่นๆ เพราะสัญลักษณ์อักษรที่บ่งบอกรุ่นจะแต้มแต่งด้วยสีเขียวมะนาว ทั้งที่ติดอยู่กับประตูข้าง ฝากระโปรงหลัง และสีสันของคาลิเปอร์เบรก นอกจากนั้นยังมีช่องเสียบชาร์จไฟอยู่เหนือซุ้มล้อหลังซ้าย(เทียบกับทิศของคนขับพวงมาลัยขวา) ขณะที่ฝาถังน้ำมันจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน
ทริปนี้ทีมงาน ปอร์เช่ เอเชีย แปซิฟิก (เจ้าภาพในการทดสอบระดับภูมิภาค) กำหนดให้ออกจากโรงแรม คราวน์ พลาซา สนามบิน ชางฮี ที่อยู่ฝั่งตะวันออกของเกาะสิงคโปร์ แล้ววิ่งขึ้นเหนือไปยังสวนสัตว์ (Singapore Zoo) เส้นทางนี้มีระยะทางประมาณ 47 กิโลเมตร โดยเริ่มจากโหมดขับขี่ E-Power (หลังจากสตาร์ทรถ รถจะเริ่มขับเคลื่อนที่โหมดนี้เสมอ)
โหมดนี้รถพยายามขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งไฟที่ได้มาจากแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนที่วางอยู่ด้านหลัง ตามข้อมูลบอกว่า“พานาเมรา เอส อี-ไฮบริด”สามารถชาร์จไฟให้เต็ม 100% ได้ในเวลา 2.30 - 4.0 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับกำลังไฟ และสามารถขับได้ระยะทางจากระบบ E-Power สูงสุดถึง 36 กิโลเมตร
การขับจริงรถเงียบ เดินเรียบ แรงดีครับ ขณะที่หน้าจอจะแสดงผลว่าปัจจุบันรถกำลังขับเคลื่อนด้วยขุมพลังอะไร ซึ่งการเหยียบคันเร่งนุ่มๆ กดน้ำหนักลงไปสัก 60-70% รถจะวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าตลอด แต่ถ้าทะลึ่งลองของ เหยียบมิดให้รถคิกดาวน์ เครื่องยนต์ วี6 ขนาด 3.0 ลิตร ซูเปอร์ชาร์จ จะเข้ามาช่วยทำงานทันที ที่สำคัญยังมาแบบรวดเร็วฉุดกระชากพร้อมเสียงคำราม เล่นเอาผู้เขียนสะดิ้ง เอ้ย! สะดุ้งไปเหมือนกัน
...ขับไปเพลินๆ ตามองเส้นทางสลับกับหน้าจอแสดงระบบนำทาง ชื่นชมธรรมชาติและความเป็นระเบียบของบ้านเมืองพร้อมแลกเปลี่ยนความคิดไปกับนักข่าวอีกท่านหนึ่ง(ที่ยังไม่ได้ขับ) เห็นทั้งความสวยงามของสิ่งก่อสร้างแบบ man made ถนนหนทาง และต้นไม้ใหญ่ตลอดสองฝั่งถนนที่ถูกอนุรักษ์เอาไว้ รวมถึงสถานที่พักผ่อนอันร่มรื่นอีกหลายแห่ง
ผู้เขียนขับไปเรื่อยและมั่นใจว่าไม่หลงแน่ๆ แต่กลับไม่ทันสังเกตว่าโหมด E-Power ที่วิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆตัดการทำงานไปเมื่อไหร่ (จริงๆไฟฟ้าไม่น่าถูกใช้จนหมดเกลี้ยง ตามหลักการของแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน) แต่คร่าวๆตามความรู้สึกน่าจะวิ่งได้ประมาณ20 กิโลเมตร (แบตเตอรี่ไม่เต็มมาตั้งแต่แรก) และต่อจากนั้นระบบจะตัดเข้าสู่โหมด“ไฮบริด” ที่เครื่องยนต์จะทำงานเป็นหลัก ซึ่งโหมดนี้คล้ายๆไฮบริดแบบซีรีย์ผสมพาราเรลของโตโยต้าละครับ
กล่าวคือเครื่องยนต์จะคอยส่งกำลังไปยังเจเนอเรเตอร์ เพื่อปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ ควบคู่ไปกับทำหน้าที่ขับเคลื่อนรถโดยส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดลงสู่ล้อคู่หลัง เหนืออื่นใดในหลายๆจังหวะของการขับขี่ มอเตอร์ไฟฟ้า จะเข้ามาแบ่งเบาภาระของเครื่องยนต์(เมื่อแบตเตอรี่มีไฟในระดับพอสมควร) ด้วยเช่นกัน
โดยทำงานสอดประสานกันไประหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า แต่มากไปกว่านั้น “พานาเมรา เอส อี-ไฮบริด” ยังมีโหมด E-charge (ปุ่มกดอยู่ตรงคอนโซลกลาง) ซึ่งเครื่องยนต์ยังผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า เพียงแต่โหมดนี้จะสั่งให้เครื่องยนต์ตั้งใจส่งแรงไปปั่นไฟเก็บไว้ในแบตเตอรี่ให้มากขึ้น หรือมีเป้าหมายรักษาประจุไฟฟ้าให้ได้ 60%
อีกความแตกต่างที่สัมผัสได้ระหว่างขับโหมดไฮบริดปกติ กับ E-charge นั่นคือแหน่งเกียร์ โดยโหมดแรกรถพยายามใช้เกียร์สูง แถวๆเกียร์ 6-7-8 อยู่ตลอดเวลา แต่ในโหมดหลังจะมุ่งใช้เกียร์ต่ำแถวๆ เกียร์ 4-5 พร้อมการตอบสนองของคันเร่ง และการเบรกจะมีอาการหน่วงดึงมากกว่าโหมดไฮบริดปกติ
อย่างไรก็ตาม “พานาเมรา เอส อี-ไฮบริด” ยังเหลือช่องว่างเอาไว้ให้การขับแบบดุดันพอสมควร ด้วยโหมดสปอร์ตที่เครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง ช่วงล่าง การควบคุมจะเฉียบคมจัดจ้านมากขึ้น แต่การขับในโหมดนี้เอาเข้าจริงๆ ผู้เขียนก็ไม่กล้าจัดหนักอัดเต็มบนท้องถนนในประเทศสิงคโปร์ที่จำกัดความเร็วไว้ 90 กม./ชม.ละครับ
จากสวนสัตว์ทางเหนือ เราต้องขับลงใต้มาที่เกาะเซนโตซ่า แหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนชื่อดัง และที่แห่งนี้ผู้เขียนมีโอกาสได้ลองชาร์จไฟกับระบบปลั๊ก-อินของรถ
ที่ประเทศสิงค์โปร์จะมีจุดชาร์จไฟแบบเร่งด่วนให้กับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบ EV และ Plug-in Hybrid โดยรัฐบาลมอบหมายให้บริษัท Bosch เป็นผู้วางเครือข่ายตามที่จอดรถของแหล่งชอปปิ้งและสถานที่สำคัญต่างๆ ปัจจุบันมีประมาณ 60 จุด และจะเพิ่มเป็น 100 จุดในอนาคต
สำหรับการชาร์จไฟ เราต้องมีบัตรประจำตัวรถที่มีการลงทะเบียนหรือเสียค่าบริการเอาไว้แล้ว และเพียงแตะบัตรกับตู้ที่เรียกว่า eMobility Servicesจากนั้นถึงจะดึงหัวชาร์จมาเสียบกับรถยนต์ของเราได้
ผู้เขียนลองชาร์จไฟทิ้งไว้ประมาณชั่วโมงครึ่ง กลับเข้ามาพบว่าแบตเตอรี่มีความจุถึง 70% ซึ่งตัวรถจะแจ้งให้ผู้ขับทราบทันทีว่า ปริมาณไฟระดับนี้รถสามารถขับด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนหรือ E-power ได้ 17 กิโลเมตร
หลังจากลองชาร์จและขับจนหมดโหมด E-power เข้าสู่โหมดไฮบริด สลับเปลี่ยนเป็น E-charge และโหมดสปอร์ตบ้าง วนรอบเกาะกลับมาถึงโรงแรมรวมระยะทางในทริปนี้ 235 กิโลเมตร
สรุปสั้นๆสำหรับ“พานาเมรา เอส อี-ไฮบริด” โดยเฉพาะการขับในโหมด E-power ผู้เขียนประทับใจเรี่ยวแรงที่ให้ความต่อเนื่อง อัตราเร่งดีทุกครั้งที่เติมคันเร่ง ภายในห้องโดยสารเงียบ ช่วงล่างนุ่มหนึบ ตัวรถเหมือนจะเทอะทะไปนิดแต่ขับจริงไม่ถึงกับอุ้ยอ้าย ที่สำคัญโหมดนี้ ผู้ขับสามารถเร่งความเร็วกะทันหันภายในเสี้ยววินาที ด้วยการกดคิกดาวน์หนักๆ พลังจากเครื่องยนต์จะเข้ามาเสริมทัพทันที ส่งให้รถพุ่งทะยานดังใจ
เพียงแต่การขับในโหมดนี้ยังมีข้อจำกัดที่รถจะวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆได้ระยะทางน้อยไปนิด แต่ถ้าคิดกลับกันว่านี่คือรถยนต์ปอร์เช่ที่ยังคงบุคลิกการขับสไตล์สปอร์ตเร้าใจเอาไว้ (เพราะยังเลือกวางเครื่องยนต์ วี6 ขนาด 3.0 ลิตร ซูเปอร์ชาร์จ) และได้อัตราบริโภคน้ำมันที่เป็นมิตรมากขึ้น แถมมีโหมดการขับขี่ให้เลือกตามความพอใจ พร้อมความอเนกประสงค์ใช้งานได้จริงในทุกวันกับราคาที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ดูเป็นรถอัจฉริยะที่คุ้มค่าทางเทคโนโลยีและการตอบสนองด้านอารมณ์
...หนึ่งวันเต็มกับระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร ที่สุดผู้เขียนพบว่าทั้ง “สิงคโปร์” และ“พานาเมรา เอส อี-ไฮบริด” เหมือนกันตรงความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงให้ตนเองพัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย และรุดหน้าในธุรกิจ(เศรษฐกิจ) คู่ขนานไปกับบทบาทรักษ์โลก รักษาสิ่งแวดล้อมเอาไว้ให้มากที่สุด
แปะท้ายทุกข่าวในเว็บ