“อยากขี่บิ๊กไบค์แค่มีเงินซื้อ ใครๆ ก็ขี่ได้ แต่ถ้าอยากขี่เป็นต้องทำไง”
คำเฉลยของปัญหานี้ค่ายผู้ทำตลาดสองล้อขนาดใหญ่ในบ้านเราต่างเตรียมคำตอบไว้อยู่แล้ว ด้วยการจัดคอร์สอบรมการขับขี่ตั้งแต่พื้นฐานยันถึงขั้นระดับแข่งขัน และยังไม่นับรวมหลักสูตรจากครูฝึกหรืออดีตนักแข่ง ที่เปิดคอร์สรับสอนมีทั้งตัวต่อตัวหรือเป็นกลุ่มให้เลือกแบบไม่จำกัดยี่ห้ออีกมากมาย
เรียกได้ว่าวิธีก้าวผ่านเส้นแบ่งระหว่าง “ขี่ได้” กับ “ขี่เป็น” นั้นมีหลายทางเลือก ขึ้นอยู่กับเหล่าไบค์เกอร์จะมองเห็นความสำคัญและใส่ใจในความปลอดภัยของตัวเองขนาดไหน
โดยหนึ่งในแบรนด์ชั้นนำที่กำลังได้รับความนิยมระดับหัวแถวอย่าง “ดูคาติ” ก็มีเปิดรับกวดวิชาด้านการขับขี่บิ๊กไบค์ด้วยเช่นกัน อีกทั้งเป็นหลักสูตรที่ถ่ายทอดมาจากอิตาลีโดยตรง ภายใต้ชื่อ Ducati Riding Experience (DRE) ซึ่งมีแนวคิดต้องการถ่ายทอดประสบการณ์อันดีกับการขับขี่รถจักรยานยนต์ดูคาติ ด้วยการเพิ่มพูนทักษะการใช้รถแบ่งระดับตามหลักสูตรที่จัดขึ้น วัตุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้รับความสนุกสนานจากการขับขี่รถดูคาติได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ด้านหลักสูตรการสอนแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ Basic, Intermediate และ Racing Course ซึ่งมีความเข้มข้นของเนื้อหาแตกต่างกัน โดยเริ่มต้นตามชื่อตั้งแต่จากพื้นฐานจนถึงลงสนามแข่งขัน ตามลำดับ
สำหรับคอร์สที่นำมาเล่าสู่กันฟังครั้งนี้เป็น Racing Course ล่าสุดที่เพิ่งจัดอบรมไปไม่นานที่สนามพีระเซอร์กิต พัทยา “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ได้รับเชิญให้ร่วมเป็นหนึ่งในนักเรียนคอร์สพิเศษ ซึ่งมีครูฝึกหรือ DRE Instructor บินตรงจากแดนมักโรนีมาร่วมถ่ายทอดวิชาด้วย 2 คน คือ “Dario Marchetti” DRE Technical Director and Instructor Manager และ “Daniele Morigi” DRE Instructor and Former World Superbike Rider
หลังจากเปลี่ยนใส่อุปกรณ์ขับขี่ที่ผู้เขียนได้รับการเอื้อเฟื้อจาก Alpinestars เรียบร้อยแล้ว จึงเริ่มคาบเรียนในตอนเช้าสำหรับภาคทฤษฎี ว่าด้วยองค์ประกอบการขับขี่รถจักรยานยนต์ ได้แก่ คน รถ และสภาพแวดล้อม โดยในที่นี้จะเน้นไปที่ตัวบุคคล เนื่องจากทางดูคาติเตรียมตัวแรง Panigale 899 ที่เซตอัพระบบต่างๆ ของตัวรถรองรับการใช้งานในแทร็ค พร้อมเช่าเหมาสนามพีระเซอร์กิตเพื่อใช้เป็นสนามฝึกสอน ซึ่งเป็นพื้นที่ปิดและมีความปลอดภัยมากกว่าบนท้องถนนอยู่แล้ว
ขณะที่ตัวผู้ขับขี่สภาพร่างกายต้องสมบูรณ์ ไร้อาการบาดเจ็บหรือเหนื่อยล้า รวมถึงได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ขณะเดียวกันด้านอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยต้องครบถ้วน หมวก ถุงมือ เสื้อแจ็กเก็ตที่มีการ์ด(วันนี้ใช้เรซซิ่งสูท) กางเกง รองเท้า ทุกอย่างต้องเป๊ะ อีกอย่างกฏเหล็กที่สำคัญที่สุด คือ ควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 24 ชั่วโมง ก่อนการขับขี่ทุกครั้ง หรือจำง่ายๆ ว่า “เมาไม่ขับ” นั่นเอง
เมื่อทำความเข้าใจหลักการต่างๆ เบื้องต้นซึ่งใช้เวลาอธิบายกันไม่นาน เพราะต้องการเน้นภาคปฏิบัติมากกว่า โดยนักเรียนจะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ ละ 3-4 คน พร้อมมีครูฝึกคอยดูแลและแนะนำจุดบกพร่องต่างๆ แบบจี้ตัวต่อตัวในแต่ละกลุ่มอย่างใกล้ชิด
สำหรับทักษะที่ได้เรียนรู้ในหลักสูตร Racing Course เริ่มจากท่าทางการขี่ที่ถูกต้อง ทั้งทางตรงและทางโค้ง ตามระดับความเร็วตั้งแต่ Lean out, Lean with, Lean in และ Hang on โดยมีความสัมพันธ์กับความเร็วจากน้อยไปหามาก ตามลำดับ ซึ่งวิธีปฏิบัติหลังสุดจะเป็นลักษณะท่าทางการขี่ที่ต้องใช้ในสนามแข่งขัน ตามด้วยการควบคุมคันเร่ง การเบรก การเลือกใช้เกียร์ที่เหมาะสม การควบคุมรถในโค้ง การใช้สายตาในการเข้าโค้ง และการใช้ไลน์ที่เหมาะสมในการเข้าโค้ง
โดยหัวข้อต่างๆ ที่กล่าวมา นักเรียนทุกคนน่าจะเคยผ่านหูผ่านตามาแล้วทั้งนั้น แต่การลงมือปฏิบัติจริงเชื่อว่าคงเป็นส่วนน้อย และคอร์สอบรมนี้เองที่จะช่วยให้นักบิดได้เรียนรู้และเข้าใจผ่านการสัมผัสจากประสบการณ์ตรงในสนามแข่งขัน พร้อมนำกลับไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม อย่าคาดหวังว่าคอร์สนี้จะทำให้คุณขี่รถเก่งระดับเทพได้เพียงข้ามคืน เพราะทักษะและความชำนาญต้องอาศัยชั่วโมงบินการฝึกฝนเป็นกุญแจสำคัญ ซึ่งหากพื้นฐานดีแล้วการจะซิ่งให้เร็วขึ้นไม่ใช่เรื่องยาก
ส่วนการได้เข้ามาเรียนรู้และทำความเข้าใจหลักการขับขี่ทั้งภาคทฤษฏีและปฏิบัติที่ถูกต้อง จะเป็นการเพิ่มอรรถรสความสนุกสนานและเสริมความปลอดภัยให้กับตัวคุณเอง สิ่งนี้ต่างหากที่เป็นหัวใจของ Ducati Riding Experience หรือคอร์สที่มอบประสบการณ์ดีๆ ให้กับผู้ใช้รถดูคาติ(ปัจจุบันขี่รถยี่ห้ออื่นก็สามารถสมัครเข้าอบรมได้ด้วย)
ย้ำอีกครั้งหากมีเวลาและเงินพร้อม(ค่าใช้จ่ายแต่ละหลักสูตรไม่เท่ากัน)ควรหาโอกาสไปเรียนสักครั้ง และไม่จำกัดว่าต้องเป็นหลักสูตรจากค่ายใดค่ายหนึ่ง เพราะหากตัดสินใจเรียนแล้วไม่ว่าจะเลือกคอร์สอบรมไหนก็ตาม เชื่อเถอะว่าการขี่รถของคุณจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
หนึ่งในหนทางการก้าวผ่านเส้นแบ่งระหว่าง “ขี่ได้” กับ “ขี่เป็น” อยู่ตรงหน้าแล้ว มัวลังเลอะไรอยู่!
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring
คำเฉลยของปัญหานี้ค่ายผู้ทำตลาดสองล้อขนาดใหญ่ในบ้านเราต่างเตรียมคำตอบไว้อยู่แล้ว ด้วยการจัดคอร์สอบรมการขับขี่ตั้งแต่พื้นฐานยันถึงขั้นระดับแข่งขัน และยังไม่นับรวมหลักสูตรจากครูฝึกหรืออดีตนักแข่ง ที่เปิดคอร์สรับสอนมีทั้งตัวต่อตัวหรือเป็นกลุ่มให้เลือกแบบไม่จำกัดยี่ห้ออีกมากมาย
เรียกได้ว่าวิธีก้าวผ่านเส้นแบ่งระหว่าง “ขี่ได้” กับ “ขี่เป็น” นั้นมีหลายทางเลือก ขึ้นอยู่กับเหล่าไบค์เกอร์จะมองเห็นความสำคัญและใส่ใจในความปลอดภัยของตัวเองขนาดไหน
โดยหนึ่งในแบรนด์ชั้นนำที่กำลังได้รับความนิยมระดับหัวแถวอย่าง “ดูคาติ” ก็มีเปิดรับกวดวิชาด้านการขับขี่บิ๊กไบค์ด้วยเช่นกัน อีกทั้งเป็นหลักสูตรที่ถ่ายทอดมาจากอิตาลีโดยตรง ภายใต้ชื่อ Ducati Riding Experience (DRE) ซึ่งมีแนวคิดต้องการถ่ายทอดประสบการณ์อันดีกับการขับขี่รถจักรยานยนต์ดูคาติ ด้วยการเพิ่มพูนทักษะการใช้รถแบ่งระดับตามหลักสูตรที่จัดขึ้น วัตุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้รับความสนุกสนานจากการขับขี่รถดูคาติได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ด้านหลักสูตรการสอนแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ Basic, Intermediate และ Racing Course ซึ่งมีความเข้มข้นของเนื้อหาแตกต่างกัน โดยเริ่มต้นตามชื่อตั้งแต่จากพื้นฐานจนถึงลงสนามแข่งขัน ตามลำดับ
สำหรับคอร์สที่นำมาเล่าสู่กันฟังครั้งนี้เป็น Racing Course ล่าสุดที่เพิ่งจัดอบรมไปไม่นานที่สนามพีระเซอร์กิต พัทยา “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ได้รับเชิญให้ร่วมเป็นหนึ่งในนักเรียนคอร์สพิเศษ ซึ่งมีครูฝึกหรือ DRE Instructor บินตรงจากแดนมักโรนีมาร่วมถ่ายทอดวิชาด้วย 2 คน คือ “Dario Marchetti” DRE Technical Director and Instructor Manager และ “Daniele Morigi” DRE Instructor and Former World Superbike Rider
หลังจากเปลี่ยนใส่อุปกรณ์ขับขี่ที่ผู้เขียนได้รับการเอื้อเฟื้อจาก Alpinestars เรียบร้อยแล้ว จึงเริ่มคาบเรียนในตอนเช้าสำหรับภาคทฤษฎี ว่าด้วยองค์ประกอบการขับขี่รถจักรยานยนต์ ได้แก่ คน รถ และสภาพแวดล้อม โดยในที่นี้จะเน้นไปที่ตัวบุคคล เนื่องจากทางดูคาติเตรียมตัวแรง Panigale 899 ที่เซตอัพระบบต่างๆ ของตัวรถรองรับการใช้งานในแทร็ค พร้อมเช่าเหมาสนามพีระเซอร์กิตเพื่อใช้เป็นสนามฝึกสอน ซึ่งเป็นพื้นที่ปิดและมีความปลอดภัยมากกว่าบนท้องถนนอยู่แล้ว
ขณะที่ตัวผู้ขับขี่สภาพร่างกายต้องสมบูรณ์ ไร้อาการบาดเจ็บหรือเหนื่อยล้า รวมถึงได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ขณะเดียวกันด้านอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยต้องครบถ้วน หมวก ถุงมือ เสื้อแจ็กเก็ตที่มีการ์ด(วันนี้ใช้เรซซิ่งสูท) กางเกง รองเท้า ทุกอย่างต้องเป๊ะ อีกอย่างกฏเหล็กที่สำคัญที่สุด คือ ควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 24 ชั่วโมง ก่อนการขับขี่ทุกครั้ง หรือจำง่ายๆ ว่า “เมาไม่ขับ” นั่นเอง
เมื่อทำความเข้าใจหลักการต่างๆ เบื้องต้นซึ่งใช้เวลาอธิบายกันไม่นาน เพราะต้องการเน้นภาคปฏิบัติมากกว่า โดยนักเรียนจะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ ละ 3-4 คน พร้อมมีครูฝึกคอยดูแลและแนะนำจุดบกพร่องต่างๆ แบบจี้ตัวต่อตัวในแต่ละกลุ่มอย่างใกล้ชิด
สำหรับทักษะที่ได้เรียนรู้ในหลักสูตร Racing Course เริ่มจากท่าทางการขี่ที่ถูกต้อง ทั้งทางตรงและทางโค้ง ตามระดับความเร็วตั้งแต่ Lean out, Lean with, Lean in และ Hang on โดยมีความสัมพันธ์กับความเร็วจากน้อยไปหามาก ตามลำดับ ซึ่งวิธีปฏิบัติหลังสุดจะเป็นลักษณะท่าทางการขี่ที่ต้องใช้ในสนามแข่งขัน ตามด้วยการควบคุมคันเร่ง การเบรก การเลือกใช้เกียร์ที่เหมาะสม การควบคุมรถในโค้ง การใช้สายตาในการเข้าโค้ง และการใช้ไลน์ที่เหมาะสมในการเข้าโค้ง
โดยหัวข้อต่างๆ ที่กล่าวมา นักเรียนทุกคนน่าจะเคยผ่านหูผ่านตามาแล้วทั้งนั้น แต่การลงมือปฏิบัติจริงเชื่อว่าคงเป็นส่วนน้อย และคอร์สอบรมนี้เองที่จะช่วยให้นักบิดได้เรียนรู้และเข้าใจผ่านการสัมผัสจากประสบการณ์ตรงในสนามแข่งขัน พร้อมนำกลับไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม อย่าคาดหวังว่าคอร์สนี้จะทำให้คุณขี่รถเก่งระดับเทพได้เพียงข้ามคืน เพราะทักษะและความชำนาญต้องอาศัยชั่วโมงบินการฝึกฝนเป็นกุญแจสำคัญ ซึ่งหากพื้นฐานดีแล้วการจะซิ่งให้เร็วขึ้นไม่ใช่เรื่องยาก
ส่วนการได้เข้ามาเรียนรู้และทำความเข้าใจหลักการขับขี่ทั้งภาคทฤษฏีและปฏิบัติที่ถูกต้อง จะเป็นการเพิ่มอรรถรสความสนุกสนานและเสริมความปลอดภัยให้กับตัวคุณเอง สิ่งนี้ต่างหากที่เป็นหัวใจของ Ducati Riding Experience หรือคอร์สที่มอบประสบการณ์ดีๆ ให้กับผู้ใช้รถดูคาติ(ปัจจุบันขี่รถยี่ห้ออื่นก็สามารถสมัครเข้าอบรมได้ด้วย)
ย้ำอีกครั้งหากมีเวลาและเงินพร้อม(ค่าใช้จ่ายแต่ละหลักสูตรไม่เท่ากัน)ควรหาโอกาสไปเรียนสักครั้ง และไม่จำกัดว่าต้องเป็นหลักสูตรจากค่ายใดค่ายหนึ่ง เพราะหากตัดสินใจเรียนแล้วไม่ว่าจะเลือกคอร์สอบรมไหนก็ตาม เชื่อเถอะว่าการขี่รถของคุณจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
หนึ่งในหนทางการก้าวผ่านเส้นแบ่งระหว่าง “ขี่ได้” กับ “ขี่เป็น” อยู่ตรงหน้าแล้ว มัวลังเลอะไรอยู่!
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring