เอาใจนักบิดส่งท้ายปี 2014 ด้วยการรวมบิ๊กไบค์ 4 รุ่นต่างสไตล์ที่สร้างความประทับใจ หลังจากได้สัมผัสสมรรถนะกันไปแล้วทำให้รู้สึกอยากเป็นเจ้าของในทันที หรืออาจใช้คำว่าขี่แล้วรักเลยก็ว่าได้ ส่วนจะมีคันไหนบ้างและใช่รุ่นเดียวกับที่แฟนๆ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” คิดเอาไว้หรือไม่ ไปดูกัน
ฮอนด้า ซีบี 650 เอฟ (Honda CB650F)
บิ๊กไบค์ประกอบไทยรุ่นที่สองของค่ายปีกนก ในตระกูล “650Series” โดดเด่นด้วยขุมพลังเครื่องยนต์แบบ 4 สูบเรียง DOHC ขนาดความจุ 649 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้กำลังสูงสุด 87 แรงม้าที่ 11,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 63 นิวตัน-เมตรที่ 8,000 รอบต่อนาที จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด PGM-FI ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด
โดยสิ่งที่ทำให้รู้สึกอยากได้อยากโดน นอกจากออฟชันที่มีมากกว่าคู่แข่งจากค่ายสีเขียวอย่างกุญแจนิรภัยฝังชิพ H.I.S.S. (Honda Ignition Security System) และช่วงล่างด้านหลังเป็นสวิงอาร์มอลูมิเนียมแล้ว ด้านการตอบสนองของเครื่องยนต์แบบ 4 สูบก็เป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นต่อมความอยาก ในแง่ของการส่งกำลังที่ให้ความนุ่มนวลและต่อเนื่อง ทำให้การควบคุมรถทำได้ง่ายและรู้สึกมีความคล่องตัวมากกว่าในรอบต่ำ
ขณะที่ราคาค่าตัว 285,000 บาท แพงกว่าไม่มากเมื่อเทียบคู่แข่งตรงรุ่นอย่างคาวาซากิ อีอาร์-6 เอ็น (Kawasaki ER-6n) ราคา 275,000 บาท ซึ่งบอกเลยว่าหากชอบแนวเน็กเก็ต เน้นขี่ในเมืองเป็นหลัก หากเงินพร้อมต้องยกให้คันนี้เป็นตัวเลือกแรกและคำตอบสุดท้ายอย่างแน่นอน
ฮอนด้า ซีบีอาร์ 650 เอฟ (Honda CBR650F)
อีกหนึ่งทายาทในตระกูลนี้ของฮอนด้าที่ใช้ขุมพลังเครื่องยนต์บล็อกเดียวกันกับซีบี 650 เอฟ แต่มาในรูปแบบโฉมสปอร์ตฟูลแฟริ่ง พร้อมกับราคาที่ขยับเพิ่มขึ้นอีกนิด อยู่ที่ 300,000 บาท
นอกจากรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาแล้ว ด้านการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันก็ดูจะตอบสนองไลฟ์สไตล์นักบิดได้หลากหลายมากขึ้น เพราะคันนี้มันใช่สำหรับขาโหดที่อยากได้บิ๊กไบค์คู่ใจไว้ไปหวดในสนาม หรือใช้ขี่ออกทริปท่องเที่ยวบ้างบางเวลา ขณะเดียวกันหากจะนำมาใช้ซิ่งวิ่งในเมืองก็สามารถทำได้ ด้วยท่านั่งที่ไม่ถึงกับต้องก้มต่ำมากนักในแบบกึ่งทัวริ่งด้วย
อย่างไรก็ตาม สำหรับโฉมสปอร์ตเอาใจคนรักความเร็วคันนี้ การได้สัมผัสสมรรถนะที่ศูนย์ขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า ย่านถนนรามคำแหง คงยังไม่เพียงพอกับการซึมซับบุคลิกที่แท้จริงของตัวรถ หากปีหน้ามีโอกาสเหมาะจะนำไปทดสอบในสนามแข่งต่อไป
ดูคาติ ไฮเปอร์โมตาร์ด (Ducati Hypermotard)
จำได้ว่าแม้รูปแบบการทดสอบครั้งนั้นจะอยู่ภายใต้ทริปคาราวานท่องเที่ยว HYPE Experience ซึ่งเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แบบวันเดย์ทริป แต่ก็นับเป็นช่วงที่ดีที่สุดของความสนุกสนานกับการขี่บิ๊กไบค์บนท้องถนนในปีนี้
ด้วยความจัดจ้านของขุมพลังแบบ L-Twin 2สูบ ขนาด 821 ซีซี. 4 วาล์ว/สูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขับเคลื่อนด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด ให้กำลังสูงสุด 110 แรงม้า ที่ 9,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 89 นิวตัน-เมตร ที่ 7,750 รอบต่อนาที มาพร้อมตัวช่วยการขี่มีลักษณะให้เลือกใช้ 3 โหมด คือ แบบสปอร์ต ทัวริ่ง และในเมือง (sport, touring และ urban) รวมถึงระบบช่วงล่างและความปลอดภัยจัดเต็มกับออฟชันชุด Ducati Safety Pack สามารถปรับตั้งค่าได้อย่างอิสระให้กับระบบ DTC และ ABS
จากส่วนผสมที่ลงตัวของพละกำลังที่เหลือล้นและเอาอยู่เรื่องระบบความปลอดภัยที่ติดตั้งมาให้ เมื่อรวมกับความโดดเด่นของคันเร่งไฟฟ้าที่เรียกพลังความแรงออกมาได้รวดเร็วทันใจ และน้ำหนักตัวรถที่ค่อนข้างเบา ทำให้การควบคุมจึงทำได้ง่ายและคล่องตัว
ตำแหน่งรถที่ขี่สนุกที่สุดจะยกให้คันไหนได้ นอกจากรถคู่ใจวัยฮอร์โมนรุ่นนี้
อินเดียน สเกาต์ (Indian Scout)
ไม่เกี่ยวกับการเป็นคนไทยเพียงคนแรกและคนเดียวที่ได้ไปสัมผัสโมเดลใหม่ล่าสุดจากอินเดียนที่แดนกีวี แต่ความประทับใจอยู่ที่สมรรถนะของตัวรถล้วนๆ
สำหรับผลผลิตที่กลับมาโลดแล่นอีกครั้งของแบรนด์ดังในอดีตจากอเมริกา นับตั้งแต่เริ่มทำตลาดครั้งแรกในปี 1901 หรือครุยเซอร์โฉมใหม่รุ่นสเกาต์ ปี 2015 มีจุดขายอยู่ที่การคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมต่างๆ ของตัวรถที่โดดเด่นกลายเป็นตำนาน พร้อมกับการใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นใหม่ตามยุคสมัย
โดยเฉพาะขุมพลังเครื่องยนต์ 4 จังหวะ สองสูบวี ขนาด 1,130 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยน้ำ ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด ให้กำลังสูงสุด 100 แรงม้า ที่ 8,100 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 97.7 นิวตัน-เมตร ที่ 5,900 รอบต่อนาที จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ สร้างเซอร์ไพร์สด้านความเร้าใจเป็นอย่างมาก
เพราะอย่างที่เห็นด้วยรูปร่างหน้าตาเป็นรถสไตล์ครุยเซอร์ที่เน้นท่านั่งควบคุมมีความสะดวกสบาย แต่ในด้านสมรรถนะมาแบบสปอร์ตเต็มขั้น ด้วยอัตราเร่งตอบสนองรวดเร็วทันใจ แถมการขี่เข้าโค้งด้วยความเร็วตัวรถมีเสถียรภาพและการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยมอีกด้วย
ที่สำคัญสาวกแบรนด์เก่าแก่ระดับตำนานเตรียมหยอดกระปุกรอได้เลย เพราะเตรียมเปิดตัวทำตลาดในไทยช่วงต้นปีหน้า ด้วยราคาเริ่มต้น 849,000 บาท
ทั้งหมดนี้เป็นบิ๊กไบค์ 4 คันเด่นแห่งปี 2014 ที่ได้ลองแล้วรักเลย ส่วนโมเดลอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกหลากหลายรุ่น(ที่ยังไม่ได้ขี่) ทั้งในปีนี้และปีหน้า อดใจอีกนิด รอติดตามการทดสอบได้เร็วๆ นี้แน่นอน!
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring
ฮอนด้า ซีบี 650 เอฟ (Honda CB650F)
บิ๊กไบค์ประกอบไทยรุ่นที่สองของค่ายปีกนก ในตระกูล “650Series” โดดเด่นด้วยขุมพลังเครื่องยนต์แบบ 4 สูบเรียง DOHC ขนาดความจุ 649 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้กำลังสูงสุด 87 แรงม้าที่ 11,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 63 นิวตัน-เมตรที่ 8,000 รอบต่อนาที จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด PGM-FI ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด
โดยสิ่งที่ทำให้รู้สึกอยากได้อยากโดน นอกจากออฟชันที่มีมากกว่าคู่แข่งจากค่ายสีเขียวอย่างกุญแจนิรภัยฝังชิพ H.I.S.S. (Honda Ignition Security System) และช่วงล่างด้านหลังเป็นสวิงอาร์มอลูมิเนียมแล้ว ด้านการตอบสนองของเครื่องยนต์แบบ 4 สูบก็เป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นต่อมความอยาก ในแง่ของการส่งกำลังที่ให้ความนุ่มนวลและต่อเนื่อง ทำให้การควบคุมรถทำได้ง่ายและรู้สึกมีความคล่องตัวมากกว่าในรอบต่ำ
ขณะที่ราคาค่าตัว 285,000 บาท แพงกว่าไม่มากเมื่อเทียบคู่แข่งตรงรุ่นอย่างคาวาซากิ อีอาร์-6 เอ็น (Kawasaki ER-6n) ราคา 275,000 บาท ซึ่งบอกเลยว่าหากชอบแนวเน็กเก็ต เน้นขี่ในเมืองเป็นหลัก หากเงินพร้อมต้องยกให้คันนี้เป็นตัวเลือกแรกและคำตอบสุดท้ายอย่างแน่นอน
ฮอนด้า ซีบีอาร์ 650 เอฟ (Honda CBR650F)
อีกหนึ่งทายาทในตระกูลนี้ของฮอนด้าที่ใช้ขุมพลังเครื่องยนต์บล็อกเดียวกันกับซีบี 650 เอฟ แต่มาในรูปแบบโฉมสปอร์ตฟูลแฟริ่ง พร้อมกับราคาที่ขยับเพิ่มขึ้นอีกนิด อยู่ที่ 300,000 บาท
นอกจากรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาแล้ว ด้านการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันก็ดูจะตอบสนองไลฟ์สไตล์นักบิดได้หลากหลายมากขึ้น เพราะคันนี้มันใช่สำหรับขาโหดที่อยากได้บิ๊กไบค์คู่ใจไว้ไปหวดในสนาม หรือใช้ขี่ออกทริปท่องเที่ยวบ้างบางเวลา ขณะเดียวกันหากจะนำมาใช้ซิ่งวิ่งในเมืองก็สามารถทำได้ ด้วยท่านั่งที่ไม่ถึงกับต้องก้มต่ำมากนักในแบบกึ่งทัวริ่งด้วย
อย่างไรก็ตาม สำหรับโฉมสปอร์ตเอาใจคนรักความเร็วคันนี้ การได้สัมผัสสมรรถนะที่ศูนย์ขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า ย่านถนนรามคำแหง คงยังไม่เพียงพอกับการซึมซับบุคลิกที่แท้จริงของตัวรถ หากปีหน้ามีโอกาสเหมาะจะนำไปทดสอบในสนามแข่งต่อไป
ดูคาติ ไฮเปอร์โมตาร์ด (Ducati Hypermotard)
จำได้ว่าแม้รูปแบบการทดสอบครั้งนั้นจะอยู่ภายใต้ทริปคาราวานท่องเที่ยว HYPE Experience ซึ่งเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แบบวันเดย์ทริป แต่ก็นับเป็นช่วงที่ดีที่สุดของความสนุกสนานกับการขี่บิ๊กไบค์บนท้องถนนในปีนี้
ด้วยความจัดจ้านของขุมพลังแบบ L-Twin 2สูบ ขนาด 821 ซีซี. 4 วาล์ว/สูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขับเคลื่อนด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด ให้กำลังสูงสุด 110 แรงม้า ที่ 9,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 89 นิวตัน-เมตร ที่ 7,750 รอบต่อนาที มาพร้อมตัวช่วยการขี่มีลักษณะให้เลือกใช้ 3 โหมด คือ แบบสปอร์ต ทัวริ่ง และในเมือง (sport, touring และ urban) รวมถึงระบบช่วงล่างและความปลอดภัยจัดเต็มกับออฟชันชุด Ducati Safety Pack สามารถปรับตั้งค่าได้อย่างอิสระให้กับระบบ DTC และ ABS
จากส่วนผสมที่ลงตัวของพละกำลังที่เหลือล้นและเอาอยู่เรื่องระบบความปลอดภัยที่ติดตั้งมาให้ เมื่อรวมกับความโดดเด่นของคันเร่งไฟฟ้าที่เรียกพลังความแรงออกมาได้รวดเร็วทันใจ และน้ำหนักตัวรถที่ค่อนข้างเบา ทำให้การควบคุมจึงทำได้ง่ายและคล่องตัว
ตำแหน่งรถที่ขี่สนุกที่สุดจะยกให้คันไหนได้ นอกจากรถคู่ใจวัยฮอร์โมนรุ่นนี้
อินเดียน สเกาต์ (Indian Scout)
ไม่เกี่ยวกับการเป็นคนไทยเพียงคนแรกและคนเดียวที่ได้ไปสัมผัสโมเดลใหม่ล่าสุดจากอินเดียนที่แดนกีวี แต่ความประทับใจอยู่ที่สมรรถนะของตัวรถล้วนๆ
สำหรับผลผลิตที่กลับมาโลดแล่นอีกครั้งของแบรนด์ดังในอดีตจากอเมริกา นับตั้งแต่เริ่มทำตลาดครั้งแรกในปี 1901 หรือครุยเซอร์โฉมใหม่รุ่นสเกาต์ ปี 2015 มีจุดขายอยู่ที่การคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมต่างๆ ของตัวรถที่โดดเด่นกลายเป็นตำนาน พร้อมกับการใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นใหม่ตามยุคสมัย
โดยเฉพาะขุมพลังเครื่องยนต์ 4 จังหวะ สองสูบวี ขนาด 1,130 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยน้ำ ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด ให้กำลังสูงสุด 100 แรงม้า ที่ 8,100 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 97.7 นิวตัน-เมตร ที่ 5,900 รอบต่อนาที จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ สร้างเซอร์ไพร์สด้านความเร้าใจเป็นอย่างมาก
เพราะอย่างที่เห็นด้วยรูปร่างหน้าตาเป็นรถสไตล์ครุยเซอร์ที่เน้นท่านั่งควบคุมมีความสะดวกสบาย แต่ในด้านสมรรถนะมาแบบสปอร์ตเต็มขั้น ด้วยอัตราเร่งตอบสนองรวดเร็วทันใจ แถมการขี่เข้าโค้งด้วยความเร็วตัวรถมีเสถียรภาพและการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยมอีกด้วย
ที่สำคัญสาวกแบรนด์เก่าแก่ระดับตำนานเตรียมหยอดกระปุกรอได้เลย เพราะเตรียมเปิดตัวทำตลาดในไทยช่วงต้นปีหน้า ด้วยราคาเริ่มต้น 849,000 บาท
ทั้งหมดนี้เป็นบิ๊กไบค์ 4 คันเด่นแห่งปี 2014 ที่ได้ลองแล้วรักเลย ส่วนโมเดลอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกหลากหลายรุ่น(ที่ยังไม่ได้ขี่) ทั้งในปีนี้และปีหน้า อดใจอีกนิด รอติดตามการทดสอบได้เร็วๆ นี้แน่นอน!
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring