ทริปปิดท้าย “อีซูซุ คาราวานสัญจร” ประจำปี พ.ศ. 2557 ท่องเที่ยวในเส้นทางระหว่างประเทศไทย จากอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ฐานะประตู AEC สู่ประเทศเพื่อนบ้านเมียนมาร์ (ย่างกุ้ง - หงสา - ไจก์ทิโย) การท่องเที่ยวทางรถยนต์แบบครบรสด้วยรถอีซูซุคันเก่งของเหล่าสมาชิกประชาคมอีซูซุบนเส้นทางสุดทรหดมากกว่า 900 กิโลเมตร
บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด จัดกิจกรรมลูกค้าสัมพันธ์ “อีซูซุ คาราวานสัญจร” คาราวานท่องเที่ยวอันโด่งดังสำหรับลูกค้าอีซูซุทั่วประเทศเป็นประจำอย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าอีซูซุ ซึ่งได้รับการตอบรับในการเข้าร่วมกิจกรรมด้วยดีเสมอมา สำหรับเส้นทางที่ 4 ประจำปีนี้ ขบวนคาราวานได้ออกสตาร์ทจาก บริษัท อีซูซุตากฮกอันตึ๊ง จำกัด สาขาแม่สอด โดยมี นายโก นะคะมุระ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายขายดีลเลอร์ บี บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด พร้อมด้วยคุณปรีชา ใจเพชร นายอำเภอแม่สอด และคุณธมลวรรณ เรืองขจร ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานตาก ร่วมพิธีตีธงปล่อยขบวนคาราวานเพื่อมุ่งหน้าสู่ด่านพรมแดนแม่สอด-เมียวดี เชิงสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาร์ เพื่อผ่านพิธีการด้านเอกสารสำหรับข้ามแดน
จากนั้นขบวนคาราวานของเหล่าประชาคมอีซูซุ จำนวน 29 คัน ได้ใช้เส้นทางผ่านเมืองเมียวดี มุ่งหน้าสู่เมืองพะอัน เป็นระยะทาง 158 กิโลเมตร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นถนนดินลูกรังขึ้น-ลงเขาโค้งชันโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนจะมีน้ำท่วมขังกลายเป็นดินเลนและบ่อโคลน แต่ด้วยสมรรถนะและช่วงล่างที่เป็นเยี่ยมของรถอีซูซุ ทำให้ขบวนสามารถขับผ่านไปได้แบบสบายๆ โดยใช้เวลาในการขับรถประมาณ 5 ชั่วโมง จึงถึงจุดหมายแรก ณ ห้องอาหารในโรงแรม ซเวกะบิน (Zwekabin) ของเมืองพะอัน เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ก่อนจะเดินทางต่ออีก 293 กิโลเมตร ด้วยบรรยากาศตลอด 2 ข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้และทุ่งนาเขียวขจี ผ่านหมู่บ้านชนกลุ่มน้อยของพม่าที่ตั้งด่านตรวจอยู่เป็นระยะ ทำให้สมาชิกเพลิดเพลินซึ่งใช้เวลาอีกประมาณ 6 ชั่วโมงเต็ม โดยเฉพาะเมื่อเข้าเขตย่างกุ้งในช่วงเย็นซึ่งการจราจรติดขัดมาก
วันถัดมาสมาชิกคาราวานเปลี่ยนมาใช้รถบัสท้องถิ่นเพื่อความสะดวกในการท่องเที่ยวพร้อมมัคคุเทศก์ชาวพม่าในการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองย่างกุ้ง ซึ่งตามบูชาสถานและวัดทุกแห่งในประเทศเมียนมาร์นั้น ทุกคนจะต้องเดินเช้าไปสักการะด้วยเท้าเปล่าเท่านั้น ห้ามใส่รองเท้าหรือแม้กระทั่งถุงเท้า จุดหมายแรกคือ “เจดีย์โบตะตาว” ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของ “เทพทันใจ” หรือที่ชาวเมียนมาร์เรียกว่า “นัตโบโบยี” ซึ่งผู้ที่ศรัทธาจะมาเข้าคิวกันเป็นแถวยาว เพื่อมาขอพรโดยเชื่อว่าอธิษฐานสิ่งใดจะสมความปรารถนาทันที หลังจากนั้นจึงได้เดินทางต่อไปเพื่อไปสักการะ “พระเจาทัตยี” หรือ “พระตาหวาน” ซึ่งเป็นพระนอนปางพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ มีความยาว 65 เมตร เป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดและมีความงดงามที่สุดของประเทศเมียนมาร์ ทั้งพระพักตร์ ดวงตา และขนตาที่งดงาม รวมไปถึงพระจีวรที่มีความพริ้วไหวสมจริง ฝ่าพระบาทมีลายมงคล 108 แสดงความเป็นมหาบุรุษงดงามยิ่งนัก จากนั้นก็แวะชม “พระเจดีย์กาบาเอ” ซึ่งมีความหมายว่า โลกแห่งสันติสุข โดยพระเจดีย์กาบาเอนั้น เป็นเจดีย์ทรงกลมสวยงาม ภายในองค์พระเจดีย์เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ โดยนายอูนุ นายกฯ คนแรกของพม่า ได้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่ชำระพระไตรปิฎก
จากนั้นในช่วงเย็นจึงได้เวลาเดินทางไปนมัสการ“พระมหาเจดีย์ชเวดากอง” พระมหาเจดีย์คู่บ้านคู่เมือง 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของพม่า ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นมหาเจดีย์ที่งดงามและเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก รวมถึงเป็นพระธาตุประจำผู้เกิดปีมะเมีย ซึ่งตามตำราล้านนาเชื่อว่า ดวงวิญญาณผู้ที่เกิดปีมะเมียจะมาไหว้หลังจากที่เสียชีวิต ดังนั้นตอนมีชีวิตจึงควรมากราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล ทำให้มีผู้คนชาวพม่าและชาวต่างชาติมานมัสการอย่างไม่ขาดสาย
ในวันรุ่งขึ้นเหล่าประชาคมอีซูซุได้ออกเดินทางแบบคาราวานอีกครั้งสู่เมือง “หงสาวดี” หรือ “พะโค” เขตการปกครองหนึ่งของประเทศเมียนมาร์ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ และเปลี่ยนมาโดยสารรถบัสท้องถิ่น เพื่อเยี่ยมชมจุดหมายแรกที่ “พระเจดีย์ชเวมอดอว์” หรือ “พระธาตุมุเตา” ที่ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ใจกลางเมืองหงสาวดี พระเจดีย์องค์นี้เก่าแก่กว่า 2,000 ปี และเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพม่าด้วยความสูง 114 เมตร ภายในบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า และเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญสูงสุดของชาวพม่า ต่อด้วยการสักการะพระพุทธไสยาสน์ “ชเวตาเลียว” หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อของ "พระนอนยิ้มหวาน" หรือบ้างก็เรียกว่า “พระนอนหนุนหีบสมบัติ” เป็นอีกหนึ่งสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งของเมืองหงสาวดี จากนั้นจึงเดินทางต่อเพื่อเข้าชม “พระราชวังบุเรงนอง” ซึ่งจำลองจากพระราชวังจริงเนื่องจากพระราชวังเดิมได้มอดสลายไปในกองเพลิงปิดท้ายด้วย “พระเจดีย์ไจ๊ปุ่น” ซึ่งเป็นพระเจดีย์ที่มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ 4 องค์ หันไปทางทิศ ทั้ง 4 ทิศ โดยอายุกว่า 500 ปี ตามตำนานเล่าขานกันว่า พระเจดีย์แห่งนี้สร้างขึ้นโดย 4 สาวพี่น้องที่อุทิศตนแด่พุทธศาสนา
ในช่วงบ่ายของวันเดียวกันนี้ ขบวนคาราวานอีซูซุได้ออกเคลื่อนขบวนอีกครั้งสู่ “พระเจดีย์ไจก์ทิโย” หรือในชื่อเรียกที่คนไทยรู้จักในนาม "พระธาตุอินทร์แขวน" 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญสูงสุดของชาวพม่า และยังเป็นพระธาตุประจำผู้เกิดปีจอ ที่ตั้งอยู่ในเมืองไจก์ทิโย ห่างจากตัวเมืองหงสาวดีไปทางเหนือประมาณ 70 กิโลเมตร มีความเชื่อมาแต่ครั้งโบราณว่าพระอินทร์ได้เสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์ นำพระธาตุมาวางไว้ที่ยอดผา เพื่อให้ผู้คนได้มาเคารพสักการะ สำหรับการเดินทางขึ้นไปสักการะเจดีย์แห่งนี้ จะต้องเปลี่ยนมาเดินทางด้วยรถหกล้อเท่านั้น ด้วยทางขึ้นไปเป็นทางลาดปูนขึ้นเขาสูงชันและคดเคี้ยว ค่อนข้างหวาดเสียว รวมระยะทางกว่า 9.5 กิโลเมตร ราว 45 นาทีระหว่างทางจะมีด่านกักรถไว้รอรถสวน โดยสิ้นสุดที่บริเวณจุดปล่อยเดินเพื่อนำสัมภาระไปเก็บยังที่พัก โดยนัดพบกันอีกครั้งก่อนพระอาทิตย์ตก เพื่อขึ้นไปยังพระธาตุอินทร์แขวนท่ามกลางสายหมอก ละอองความชุ่มฉ่ำ โดยการเดินด้วยสองเท้าเปล่า แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรขัดขวางความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวไทยได้ ในที่สุดทุกคนมาถึงบริเวณพระธาตุอินทร์แขวน ซึ่งมีลักษณะเด่น คือ เป็นก้อนหินสีทองขนาดใหญ่สูง 5.5 เมตร มีน้ำหนักประมาณ 5,000 ตัน บนความสูงจากพื้นดินกว่า 1,200 เมตร โดดเด่นเป็นสง่าตั้งวางอยู่บนปลายหน้าผาได้อย่างน่าอัศจรรย์ สร้างความประทับใจแก่ชาวประชาคมอีซูซุเป็นอย่างยิ่ง
ในเช้าวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเดินทางกลับ สายฝนยังคงพร่างพรายลงมาสร้างความชุ่มฉ่ำอย่างต่อเนื่อง ชาวประชาคมอีซูซุได้ลงเดินออกจากที่พัก เพื่อไปขึ้นรถหกล้อลงสู่เชิงเขาอีกครั้ง ถึงจะมีหนทางดูยากลำบากมากขึ้นมาอีกหลายเท่าแต่ดูไม่เป็นปัญหา เหตุคงเกิดจากความอิ่มใจที่ได้ขึ้นมาสักการะพระธาตุอินทร์แขวนสมตามความตั้งใจ ก่อนจะใช้เส้นทางเดิมกลับมาทางเมืองพะอัน และมุ่งหน้าสู่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ในเย็นวันเดียวกัน
อีซูซุคาราวานสัญจร เส้นที่ 4 แม่สอด จังหวัดตาก สู่ประเทศเมียนมาร์ (ย่างกุ้ง - หงสา - ไจก์ทิโย) นี้ เป็นอีกหนึ่งทริปที่ติดตรึงใจสำหรับผู้ร่วมคาราวานทุกท่าน เพราะนอกจากจะเป็นทริปมหาบุญ ที่เกิดจากสถานที่ที่เราไปแล้วนั้น ยังเกิดจากคนที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันได้แบ่งปันความรู้สึก และประสบการณ์อันน่าประทับใจร่วมกัน