xs
xsm
sm
md
lg

ไปลองรถ 33 ล้านบาท Aston Martin DB9-Vantage S

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ในวงการรถยนต์ชั่วโมงนี้เห็นจะไม่มีใครร้อนแรงเท่า “มาสเตอร์ กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น เอเชีย” (MGC Asia) ที่ขยายธุรกิจหลากหลาย คลอบคลุมและสอดคล้องเกื้อหนุนกันเป็นลูกโซ่ ทั้งขายรถยนต์มือหนึ่ง มือสอง รถเช่า ศูนย์ดูแลรถยนต์ครบวงจร ไปจนถึงโบรกเกอร์ประกันภัย เมื่อบวกกับทีมงานคุณภาพที่เลือกเข้ามาบริหารงานแล้ว บริษัทนี้ดูแกร่งทั่วแผ่นจริงๆ
คมกริช นงค์สวัสดิ์ ผู้จัดการทั่วไป แอสตัน มาร์ติน แบงคอก กล่าวต้อนรับ
ในส่วนของการขายรถใหม่ที่แยกเป็นดีลเลอร์ของบีเอ็มดับเบิลยู มินิ ฮอนด้า และตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลตลาดในไทยอย่างเป็นทางการ นั่นคือ “โรลส์-รอยซ์” และ “แอสตัน มาร์ติน” สองตำนานจากประเทศอังกฤษ
…เห็นฝีมือและความตั้งใจครับ อย่างแบรนด์ที่ว่าลูกผีลูกคน “แอสตัน มาร์ติน” (Aston Martin) ยังกล้านำมาฟื้นตลาดในไทย (ส่วน โรลส์-รอยซ์ ขายได้หลายสิบคันต่อปีก็ถือว่าดีเกินคาด)
สำหรับ“แอสตัน มาร์ติน” เพิ่งฉลองการก่อตั้งแบรนด์ครบ 100 ปีเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นปีที่ “ แอสตัน มาร์ติน แบงคอก” หรือ บริษัท เฮอริเทจ มอเตอร์ เซลส์ แอนด์ เซอร์วิสเซส (ไทยแลนด์) จำกัด พร้อมลุยตลาดอย่างเป็นทางการ ซึ่งปีนี้ยังเดินหน้าสร้างการรับรู้ และทำการตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่องด้วยการจัดงาน “Aston Martin-The Ultimate Driving Experience” เชิญลูกค้าและสื่อมวลชนให้มาสัมผัสประสบการณ์การขับขี่สปอร์ตคาร์ระดับตำนาน ที่สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต พัทยา
จากหน้าไปหลัง แอสตัน มาร์ติน ดีบี9-แวนเทจ เอส-แวนเทจ
ดีบี9 คูเป้
ในรอบสื่อมวลชน ผู้เขียนได้ลองขับสองรุ่น คือ “ดีบี9 คูเป้ " (DB9 Coupe) กับ “แวนเทจ เอส คูเป้” (Vantage S Coupe) คันแรกเป็นรุ่นที่เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของแอสตัน มาร์ติน ส่วนรุ่นหลังก็หวังขายด้วยสมรรถนะและราคาที่เข้าถึงง่าย เมื่อเทียบกับแอสตัน มาร์ตินรุ่นอื่นๆ
สำหรับ“ดีบี9 คูเป้” มากับเครื่องยนต์รหัสAM11 แบบวี12 ขนาด 6.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 517 แรงม้า(BHP) ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตรที่ 5,500 ต่อนาที ส่งกำลังสู่ล้อคู่หลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
เป็นเครื่องยนต์ใหญ่หายใจเอง หรือไม่พึ่งพาเทอร์โบ ให้การตอบสนองตรงไปตรงมาดีครับ พร้อมความแรงแบบพุ่งทะยาน เห็นว่าอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ทำได้ 4.6 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดเคลมไว้ 295 กม./ชม. ซึ่งจากการลองขับในสนามพีระ เซอร์กิต ผู้เขียนก็ไม่ได้ทำความเร็วไปใกล้ตัวเลขดังกล่าว
ช่วงทางตรงเหยียบมิดเท้า เร่งไปแรงๆยังทำได้แถวๆ 140 กม./ชม. จากนั้นวิ่งผ่านกรวยเพื่อลองการควบคุมแบบสลาลมและมีด่านให้ทำเลนเชนจ์ ก็วิ่งอยู่แถวๆ 60-80 กม./ชม.



อย่างไรก็ตามผู้เขียนพบว่า “ดีบี9” ยังมีการควบคุมและช่วงล่างที่เนียนแบบสมเหตุสมผล แม้ตัวรถจะยาวกว่า 4.7 เมตร พร้อมเครื่องยนต์ขนาดยักษ์และมีน้ำหนักอักโขวางอยู่ด้านหน้า ขณะที่เบรกแบบเซอร์รามิก ก็จัดการเอาอยู่กับทุกย่านความเร็ว ให้ระยะเบรกสั้นและไม่เสียอาการแม้แต่น้อย (ลองเบรกจากความเร็ว 140 กม./ชม.) ซึ่งประเด็นนี้อาจจะมีระบบควบคุมการทรงตัวเข้ามาช่วยอีกหนึ่งแรง
แต่ก็เหมือนรถสปอร์ตคาร์ชั้นดีทั่วไป หากลูกค้าไม่สะใจกับสมรรถนะพื้นๆทางแอสตัน มาร์ติน ยังติดโหมดขับแบบสปอร์ตที่จะสั่งให้เครื่องยนต์และเกียร์ตอบสนองเร้าใจยิ่งขึ้น (ไม่เกี่ยวกับพวงมาลัย) และมีปุ่มปรับช่วงล่างให้แข็งกว่าปกติอีกด้วย
ทั้งนี้จริงๆแล้ว “ดีบี9” อารมณ์ยังไม่ถึงขั้นซูเปอร์คาร์ แต่แอสตัน มาร์ตินตั้งใจวางให้เป็นเป็นรถแบบจีที ที่ขับขี่ได้ทุกวัน และอย่างที่บอกว่าทุกอย่างยังดูสบายและควบคุมง่ายอยู่ ผิดกับรุ่นที่เล็กลงมาอย่าง “แวนเทจ เอส คูเป้” ที่ออกแนวกระด้างดิบกว่า
แวนเทจ เอส คูเป้

สำหรับ“แวนเทจ เอส คูเป้” วางเครื่องยนต์ วี8 ขนาด 4.7 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 430 แรงม้า (BHP) ที่ 7,300 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 490 นิวตันเมตร ที่ 5,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์แบบคลัทช์เดี่ยว 7 สปีด อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. 4.8 วินาที ความเร็วสูงสุดทำได้ 305 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
การขับขี่จริงพวงมาลัยของ“แวนเทจ เอส คูเป้” มีน้ำหนักมากกว่า “ดีบี9” อยู่นิดๆ ขณะที่ช่วงล่างเหมือนจะแข็งกว่าเช่นกัน สอดคล้องกับระบบเกียร์ลูกนี้ที่มีโครงสร้างการทำงานเหมือนเกียร์ธรรมดา (แต่สามารถเปลี่ยนเกียร์เองในอัตโนมัติ) จังหวะเปลี่ยนเกียร์มีฉุดกระชากให้หน้าทิ่มหงายท้องอยู่นิดๆ
แต่ยอมรับว่าคันนี้ ผู้เขียนลงน้ำหนักเท้า และใช้ความเร็วมากกว่า “ดีบี9” อยู่พอสมควร ซึ่งบุคลิกรถดุดัน แฝงไว้ด้วยความปราดเปรียว ช่วงล่างและล้ออัลลอยวงโตขนาด 19 นิ้ว ช่วยให้รถทรงตัวหนึบแน่น การรองรับแข็งมาตั้งแต่เกิด และไม่มีโหมดปรับช่วงล่างให้เลือกนะครับ
ในรุ่นแวนเทจ เอส จะมีแรงม้าเพิ่มจากรุ่นแวนเทจ (เฉยๆ) อยู่ 10 ตัว อัตราเร่งกับความเร็วสูงสุด ต่างกันเพียงเล็กน้อย เหนืออื่นใดในรุ่นเอส จะติดตั้ง Splitter ด้านหน้าและ Diffuser ด้านหลังที่ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ มาให้ด้วย

…สนุกสนาน มันมือสนั่นเท้าพอหอมปากหอมคอกับสปอร์ตคาร์สองอารมณ์ที่นับค่าตัวรวมกันได้ 33 ล้านบาท ใครชอบตัวแรงแต่ยังขับสบายเลือกไป “ดีบี9”ราคา 18.5 ล้านบาท ส่วนรุ่นน้องอย่าง “แวนเทจ เอส” นั้นบุคลิกห้าวหาญ ขับดิบ กับราคา 14.5 ล้านบาท ลองพิจารณาดูครับ เพราะโชว์รูม ศูนย์บริการพร้อมแล้วที่ถนนพระราม3 ซื้อไปการันตีเรื่องสมรรถนะ และบริการหลังการขายระดับมืออาชีพแน่นอน
แวนเทจ รุ่นเริ่มต้นราคา 13.5 ล้านบาท ซึ่งผู้เขียนไม่ได้ลองขับ


กำลังโหลดความคิดเห็น