เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่เมืองไทยสำหรับ “นิสสัน เอ็นพี300 นาวารา ใหม่” (All New Nissan NP300 Navara) ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมที่หลายค่ายรถยนต์ยึดปฏิบัติ เพราะไทยคือฐานผลิตสำคัญและเป็นตลาดใหญ่สำหรับปิกอัพ ด้วยสัดส่วนต่อประชากรในการซื้อปิกอัพสูงที่สุดในโลก หรือช่วงดีๆทำยอดขายรวมปีละกว่า 6 แสนคันก็เคยเห็นมาแล้ว(ปี2555)
ทั้งนี้นิสสันยังลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ใหม่ที่บางนา กม.22 เพื่อปิกอัพนาวาราโดยเฉพาะ(ต่อไปอาจจะมี PPV ใหม่อีกหนึ่งรุ่น) พร้อมรองรับการทำตลาดในประเทศและส่งออกไป 45 ประเทศ คลอบคลุมพื้นที่เอเชียโอเชียเนียเป็นหลัก
หลังเปิดตัวแบบ world premiere launch ในเดือนมิถุนายน จากนั้นเป็นพิธีเปิดโรงงานใหม่และแจ้งราคาขายในวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ช่วงนี้กระแสและการรับรู้อาจจะยังเงียบๆอยู่ครับ เพราะถ้าดูจากตารางเวลาในการแนะนำ“เอ็นพี300 นาวารา” จะเริ่มลุยจริงจังตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้ ภายใต้คอนเซปต์“แกร่งเกินคาด ฉลาดเกินใคร” ทั้งโฆษณาทีวีและลงสื่อต่างๆเต็มรูปแบบ 18 สิงหาคม ตลอดจนการทำกิจกรรมที่โชว์รูม พร้อมโรดโชว์ตามห้างใหญ่ๆและตลาดนัดดังทั่วประเทศ
“เอ็นพี300 นาวารา ใหม่” จะมากับตัวถังคิงส์แค็บ(ตอนครึ่ง)8 รุ่นย่อย และดับเบิลแค็บ(สองตอน) 10 รุ่นย่อย ส่วนตัวถังแบบซิงเกิลแค็บ(ตอนเดียว)ต้องรอกันอีกสักระยะ แต่กระนั้นนิสสันยังเดินเกมเหนียวด้วยการทำตลาด “นาวารา ซีเอ็นจี”รุ่นเก่า(มีทั้งตอนเดียวและตอนครึ่ง)ควบคู่กันไปด้วย ด้านตัวถัง“เอ็นพี300 นาวารา”มีให้เลือก6 สี ในจำนวนนี้มี 2 สีใหม่ คือ ส้ม และน้ำตาล ที่จะใช้ในการสื่อสารการตลาด
ไฮไลต์สำคัญที่เป็นจุดเด่นประเด็นขายมีอยู่หลายประการครับ เริ่มตั้งแต่ออปชันที่จะช่วยให้ชีวิตดีขึ้น ไล่ตั้งแต่ ไฟใหญ่ใช้หลอด LED รวมแสงด้วยโปรเจกเตอร์เลนส์ แถมยังมีไฟขับขี่กลางวันที่ใช้หลอด LED เช่นกัน ภายในมีพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน เครื่องเล่นDVD พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ กล้อมมองหลัง เบาะนั่งปรับระดับด้วยไฟฟ้า แอร์อัตโนมัติแยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวาและมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง รวมถึงระบบกุญแจอัจฉริยะพร้อมปุ่มสตาร์ท-ดับเครื่องยนต์ และครูสคอนโทรล
ด้านเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลบล็อกเดิมแต่พัฒนาใหม่ ที่ให้กำลังอัดต่ำลงจากประสิทธิภาพของเทอร์โบใหม่ รวมถึงหัวฉีด(เดนโซ่)เพิ่มแรงดันจาก 180 MPa (เมกะปาสคาล) เป็น 200 MPa ส่งผลให้การเผาไหม้หมดจด ปล่อยไอเสียลดลง และแรงเต็มพลัง
สุดท้ายเครื่องยนต์ดีเซล YD25 ขนาด 2.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที และความแรงระดับ 163 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที ส่วนเกียร์มีให้เลือกทั้งธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดใหม่
การทดสอบปิกอัพ “เอ็นพี300 นาวารา” มีขึ้นวันนี้(21 ก.ค.) ซึ่งเป็นการจัดแบบ Global Test เชิญสื่อมวลชนจากทั่วโลกมาร่วมสัมผัสประสบการณ์ที่จังหวัดเชียงใหม่ แน่นอนว่านักข่าวจากประเทศไทยและ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ถือเป็นกลุ่มแรกที่ได้ควบขับปิกอัพคันแกร่งอย่างเป็นทางการ
สำหรับผู้เขียนได้รุ่นท็อปตัวถังดับเบิลแค็บ เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร 190 แรงม้า ประกบเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 9.96 แสนบาทเป็นพาหนะ ซึ่งทีมงานนิสสัน(จากต่างชาติ) ออกแบบเส้นทางให้ได้ลองครบรสทั้งออนโรดและออฟโรด
การลองขับแบบออนโรดทางดำถนนดี ผู้เขียนว่าช่วงล่างของ “เอ็นพี300 นาวารา” ประนีประนอมกับพื้นถนนดีกว่าเดิม กล่าวคือกระด้างลดลงจากรุ่นเก่าแบบรู้สึกได้ เช่นเดียวกับการเข้าออกโค้งที่เนียนแน่นและอาการโยกคลอนน้อย สอดคล้องกับการควบคุมพวงมาลัยที่ค่อนข้างแม่นยำ
พวงมาลัยแบบแรคแอนพิเนียน น้ำหนักอาจจะมากในช่วงเอี้ยวเลี้ยวความเร็วต่ำ (เข้า-ออก ที่จอดรถ) แต่ถ้าเลยช่วงออกตัวไป การควบคุมเป็นธรรมชาติ จังหวะเลี้ยวของพวงมาลัยกับหน้าของรถขยับไปในทิศทางเดียวกัน ให้ความมั่นใจพร้อมไปกับช่วงล่างที่นิ่งและแน่น
ที่สำคัญประเด็นของรัศมีวงเลี้ยว จากที่นาวารา รุ่นเก่า เคยโดนปรามาสว่าต้องใช้พื้นที่เลี้ยวขนาดรถบรรทุก(ผู้เขียนเคยขับรุ่นเก่าและต้องใช้พื้นที่กลับรถฝั่งตรงข้ามถึง 3 เลน) แต่“เอ็นพี300 นาวารา” ได้ปรับปรุงใหม่ให้รัศมีวงเลี้ยวแคบลงจาก 6.4 เมตรเป็น 6.2 เมตร(รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ)
ด้านการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารอยู่ในระดับปิกอัพทั่วไป โดยมีเสียงเครื่องยนต์ดีเซล เสียงลม และการจราจรภายนอกทักทายเข้ามาพอสมควร ขณะที่การนั่งเป็นผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้า โครงเบาะออกแบบใหม่ให้รับกับแผ่นหลังและรับกับแรงกดได้ดีขึ้น น่าจะช่วยให้สบายตัวยามขับทางไกล
ส่วนพื้นที่ของผู้โดยสารด้านหลัง กว้างขวางกว่ารุ่นเดิมเล็กน้อย เป็นผลจากบริหารจัดการพื้นที่ภายในห้องโดยสารอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทีมงานด้านโปรดักต์ของนิสสันแจ้งว่า ได้ออกแบบแผงคอนโซลหน้าให้ขยับออกไปข้างหน้ามากขึ้น รวมถึงการออกแบบเบาะใหม่ จึงช่วยเพิ่มพื้นที่เลกรูมได้จริง ขณะที่พนักพิงหลังยังปรับระดับให้เอนไปข้างหลังได้มากกว่ารุ่นเก่า หรือจาก 18 องศา เป็น 23 องศาในรุ่นใหม่ แต่กระนั้นการนั่งเป็นผู้โดยสารด้านหลัง คงต้องยอมรับอาการเด้งสะเทือนจากพื้นถนนมากกว่าการนั่งด้านหน้าอยู่เหมือนเดิมครับ
เรื่องของเรี่ยวแรงที่ตอนนี้ “เอ็นพี300 นาวารา” เป็นปิกอัพเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.5 ลิตรที่ให้ตัวเลขประสิทธิผลมากที่สุดในตลาด ทั้งม้า 190 ตัว และแรงบิดระดับ 450 นิวตันเมตร การขับขี่จริงเมื่อเจอกับการจัดการพลังลงสู่ล้อด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ต้องยอมรับว่าออกแนวนุ่มนวลและส่งกำลังได้ต่อเนื่อง
ผู้เขียนรู้สึกถึงแรงดึงที่จัดมาให้ตั้งแต่รอบต่ำ หรือประมาณ 2,000-3,000 รอบ แม้บุคคลิกไม่ถึงกับกระชากหนักหน่วง แต่เหมือนขีดจำกัดของพลังก็ส่งมาให้ไม่ได้ขาด ทั้งช่วงออกตัวและเร่งแซงขับขี่สบาย ตอบสนองได้คล่องตัว ทันทุกการตัดสินใจ หรือขับทางไกลไม่เครียด
ส่วนระบบเบรกที่หน้าเป็นดิสก์หลังเป็นดรัม กับล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ประกบยาง 255/60 R18 สัมผัสของแรงกดกับระยะเบรกสัมพันธ์ตามความคาดหมาย ทั้งยังออกแนวนุ่มนวลถ่ายเทน้ำหนักได้สมดุล
ในรุ่นท็อปนิสสันยังเพิ่มความมั่นใจด้วย ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (VDC) รวมถึงระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) และระบบช่วยควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC)
ด้านอัตราบริโภคน้ำมันของรุ่นตัวถังดับเบิลแค็บ เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร 190 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อ ขับเรื่อยๆ สลับรถติด ใช้ความเร็ว 90-120 กม./ชม. และวัดในระยะทางประมาณ 40 กิโลเมตร (เลยไปกว่านั้นจะเป็นทางออฟโรด) หน้าจอแสดงตัวเลข 11.8 กม./ลิตรครับ
รวบรัดตัดความ…ยกระดับพร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการปิกอัพเมืองไทยไปอีกขั้น ด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายและตอบสนองความต้องการ โดยเฉพาะลูกค้าชาวไทยที่เน้นปิกอัพโก้หรูกับระบบอำนวยความสะดวกแบบไม่อั้น ภายในห้องโดยสารอารมณ์หรู หรือได้กลิ่นของเก๋งระดับเทียน่ามานิดๆ ส่วนเครื่องยนต์ เกียร์ ช่วงล่าง การควบคุม สมดุลลงตัว ขับขี่สบายกว่ารุ่นเก่าพอสมควร สมรรถนะรวมๆพาลให้คิดไปถึงความแกร่งของปิกอัพฟูลไซส์ น้องรถบรรทุกอย่าง “ไตตัน”ที่อเมริกา โน้นเลย
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring
ทั้งนี้นิสสันยังลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ใหม่ที่บางนา กม.22 เพื่อปิกอัพนาวาราโดยเฉพาะ(ต่อไปอาจจะมี PPV ใหม่อีกหนึ่งรุ่น) พร้อมรองรับการทำตลาดในประเทศและส่งออกไป 45 ประเทศ คลอบคลุมพื้นที่เอเชียโอเชียเนียเป็นหลัก
หลังเปิดตัวแบบ world premiere launch ในเดือนมิถุนายน จากนั้นเป็นพิธีเปิดโรงงานใหม่และแจ้งราคาขายในวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ช่วงนี้กระแสและการรับรู้อาจจะยังเงียบๆอยู่ครับ เพราะถ้าดูจากตารางเวลาในการแนะนำ“เอ็นพี300 นาวารา” จะเริ่มลุยจริงจังตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้ ภายใต้คอนเซปต์“แกร่งเกินคาด ฉลาดเกินใคร” ทั้งโฆษณาทีวีและลงสื่อต่างๆเต็มรูปแบบ 18 สิงหาคม ตลอดจนการทำกิจกรรมที่โชว์รูม พร้อมโรดโชว์ตามห้างใหญ่ๆและตลาดนัดดังทั่วประเทศ
“เอ็นพี300 นาวารา ใหม่” จะมากับตัวถังคิงส์แค็บ(ตอนครึ่ง)8 รุ่นย่อย และดับเบิลแค็บ(สองตอน) 10 รุ่นย่อย ส่วนตัวถังแบบซิงเกิลแค็บ(ตอนเดียว)ต้องรอกันอีกสักระยะ แต่กระนั้นนิสสันยังเดินเกมเหนียวด้วยการทำตลาด “นาวารา ซีเอ็นจี”รุ่นเก่า(มีทั้งตอนเดียวและตอนครึ่ง)ควบคู่กันไปด้วย ด้านตัวถัง“เอ็นพี300 นาวารา”มีให้เลือก6 สี ในจำนวนนี้มี 2 สีใหม่ คือ ส้ม และน้ำตาล ที่จะใช้ในการสื่อสารการตลาด
ไฮไลต์สำคัญที่เป็นจุดเด่นประเด็นขายมีอยู่หลายประการครับ เริ่มตั้งแต่ออปชันที่จะช่วยให้ชีวิตดีขึ้น ไล่ตั้งแต่ ไฟใหญ่ใช้หลอด LED รวมแสงด้วยโปรเจกเตอร์เลนส์ แถมยังมีไฟขับขี่กลางวันที่ใช้หลอด LED เช่นกัน ภายในมีพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน เครื่องเล่นDVD พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ กล้อมมองหลัง เบาะนั่งปรับระดับด้วยไฟฟ้า แอร์อัตโนมัติแยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวาและมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง รวมถึงระบบกุญแจอัจฉริยะพร้อมปุ่มสตาร์ท-ดับเครื่องยนต์ และครูสคอนโทรล
ด้านเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลบล็อกเดิมแต่พัฒนาใหม่ ที่ให้กำลังอัดต่ำลงจากประสิทธิภาพของเทอร์โบใหม่ รวมถึงหัวฉีด(เดนโซ่)เพิ่มแรงดันจาก 180 MPa (เมกะปาสคาล) เป็น 200 MPa ส่งผลให้การเผาไหม้หมดจด ปล่อยไอเสียลดลง และแรงเต็มพลัง
สุดท้ายเครื่องยนต์ดีเซล YD25 ขนาด 2.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที และความแรงระดับ 163 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที ส่วนเกียร์มีให้เลือกทั้งธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดใหม่
การทดสอบปิกอัพ “เอ็นพี300 นาวารา” มีขึ้นวันนี้(21 ก.ค.) ซึ่งเป็นการจัดแบบ Global Test เชิญสื่อมวลชนจากทั่วโลกมาร่วมสัมผัสประสบการณ์ที่จังหวัดเชียงใหม่ แน่นอนว่านักข่าวจากประเทศไทยและ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ถือเป็นกลุ่มแรกที่ได้ควบขับปิกอัพคันแกร่งอย่างเป็นทางการ
สำหรับผู้เขียนได้รุ่นท็อปตัวถังดับเบิลแค็บ เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร 190 แรงม้า ประกบเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 9.96 แสนบาทเป็นพาหนะ ซึ่งทีมงานนิสสัน(จากต่างชาติ) ออกแบบเส้นทางให้ได้ลองครบรสทั้งออนโรดและออฟโรด
การลองขับแบบออนโรดทางดำถนนดี ผู้เขียนว่าช่วงล่างของ “เอ็นพี300 นาวารา” ประนีประนอมกับพื้นถนนดีกว่าเดิม กล่าวคือกระด้างลดลงจากรุ่นเก่าแบบรู้สึกได้ เช่นเดียวกับการเข้าออกโค้งที่เนียนแน่นและอาการโยกคลอนน้อย สอดคล้องกับการควบคุมพวงมาลัยที่ค่อนข้างแม่นยำ
พวงมาลัยแบบแรคแอนพิเนียน น้ำหนักอาจจะมากในช่วงเอี้ยวเลี้ยวความเร็วต่ำ (เข้า-ออก ที่จอดรถ) แต่ถ้าเลยช่วงออกตัวไป การควบคุมเป็นธรรมชาติ จังหวะเลี้ยวของพวงมาลัยกับหน้าของรถขยับไปในทิศทางเดียวกัน ให้ความมั่นใจพร้อมไปกับช่วงล่างที่นิ่งและแน่น
ที่สำคัญประเด็นของรัศมีวงเลี้ยว จากที่นาวารา รุ่นเก่า เคยโดนปรามาสว่าต้องใช้พื้นที่เลี้ยวขนาดรถบรรทุก(ผู้เขียนเคยขับรุ่นเก่าและต้องใช้พื้นที่กลับรถฝั่งตรงข้ามถึง 3 เลน) แต่“เอ็นพี300 นาวารา” ได้ปรับปรุงใหม่ให้รัศมีวงเลี้ยวแคบลงจาก 6.4 เมตรเป็น 6.2 เมตร(รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ)
ด้านการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารอยู่ในระดับปิกอัพทั่วไป โดยมีเสียงเครื่องยนต์ดีเซล เสียงลม และการจราจรภายนอกทักทายเข้ามาพอสมควร ขณะที่การนั่งเป็นผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้า โครงเบาะออกแบบใหม่ให้รับกับแผ่นหลังและรับกับแรงกดได้ดีขึ้น น่าจะช่วยให้สบายตัวยามขับทางไกล
ส่วนพื้นที่ของผู้โดยสารด้านหลัง กว้างขวางกว่ารุ่นเดิมเล็กน้อย เป็นผลจากบริหารจัดการพื้นที่ภายในห้องโดยสารอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทีมงานด้านโปรดักต์ของนิสสันแจ้งว่า ได้ออกแบบแผงคอนโซลหน้าให้ขยับออกไปข้างหน้ามากขึ้น รวมถึงการออกแบบเบาะใหม่ จึงช่วยเพิ่มพื้นที่เลกรูมได้จริง ขณะที่พนักพิงหลังยังปรับระดับให้เอนไปข้างหลังได้มากกว่ารุ่นเก่า หรือจาก 18 องศา เป็น 23 องศาในรุ่นใหม่ แต่กระนั้นการนั่งเป็นผู้โดยสารด้านหลัง คงต้องยอมรับอาการเด้งสะเทือนจากพื้นถนนมากกว่าการนั่งด้านหน้าอยู่เหมือนเดิมครับ
เรื่องของเรี่ยวแรงที่ตอนนี้ “เอ็นพี300 นาวารา” เป็นปิกอัพเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.5 ลิตรที่ให้ตัวเลขประสิทธิผลมากที่สุดในตลาด ทั้งม้า 190 ตัว และแรงบิดระดับ 450 นิวตันเมตร การขับขี่จริงเมื่อเจอกับการจัดการพลังลงสู่ล้อด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ต้องยอมรับว่าออกแนวนุ่มนวลและส่งกำลังได้ต่อเนื่อง
ผู้เขียนรู้สึกถึงแรงดึงที่จัดมาให้ตั้งแต่รอบต่ำ หรือประมาณ 2,000-3,000 รอบ แม้บุคคลิกไม่ถึงกับกระชากหนักหน่วง แต่เหมือนขีดจำกัดของพลังก็ส่งมาให้ไม่ได้ขาด ทั้งช่วงออกตัวและเร่งแซงขับขี่สบาย ตอบสนองได้คล่องตัว ทันทุกการตัดสินใจ หรือขับทางไกลไม่เครียด
ส่วนระบบเบรกที่หน้าเป็นดิสก์หลังเป็นดรัม กับล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ประกบยาง 255/60 R18 สัมผัสของแรงกดกับระยะเบรกสัมพันธ์ตามความคาดหมาย ทั้งยังออกแนวนุ่มนวลถ่ายเทน้ำหนักได้สมดุล
ในรุ่นท็อปนิสสันยังเพิ่มความมั่นใจด้วย ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (VDC) รวมถึงระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) และระบบช่วยควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC)
ด้านอัตราบริโภคน้ำมันของรุ่นตัวถังดับเบิลแค็บ เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร 190 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อ ขับเรื่อยๆ สลับรถติด ใช้ความเร็ว 90-120 กม./ชม. และวัดในระยะทางประมาณ 40 กิโลเมตร (เลยไปกว่านั้นจะเป็นทางออฟโรด) หน้าจอแสดงตัวเลข 11.8 กม./ลิตรครับ
รวบรัดตัดความ…ยกระดับพร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการปิกอัพเมืองไทยไปอีกขั้น ด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายและตอบสนองความต้องการ โดยเฉพาะลูกค้าชาวไทยที่เน้นปิกอัพโก้หรูกับระบบอำนวยความสะดวกแบบไม่อั้น ภายในห้องโดยสารอารมณ์หรู หรือได้กลิ่นของเก๋งระดับเทียน่ามานิดๆ ส่วนเครื่องยนต์ เกียร์ ช่วงล่าง การควบคุม สมดุลลงตัว ขับขี่สบายกว่ารุ่นเก่าพอสมควร สมรรถนะรวมๆพาลให้คิดไปถึงความแกร่งของปิกอัพฟูลไซส์ น้องรถบรรทุกอย่าง “ไตตัน”ที่อเมริกา โน้นเลย
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring