ข่าวต่างประเทศ-เจนเนอรัล มอเตอร์ส เผยแผนเดินหน้ายกระดับความยั่งยืนของอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ด้วยการปรับโครงสร้างผลิตภัณฑ์ พัฒนากระบวนการผลิต พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรใหม่หลายราย เพื่อเป้าหมายสร้างเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
แมรี่ บาร์ร่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของจีเอ็ม กล่าวว่า “ความเอาใจใส่ต่อลูกค้าเน้นย้ำว่า ทำไมความยั่งยืนจึงเป็นกลยุทธ์หลักของจีเอ็มทั้งในปัจจุบันและอนาคต เนื่องจากผู้คนให้ความสนใจมากกว่าแค่ตัวรถ พวกเขาสนใจว่าเราผลิตรถยนต์อย่างไรและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวมากเพียงใด ซึ่งการตระหนักและแรงผลักดันนี้ทำให้เราเปลี่ยนแปลงวิธีการออกแบบ การผลิต การพัฒนาความปลอดภัย คุณภาพ สิ่งแวดล้อม การดูแลลูกค้า และขอบเขตอื่นๆ ด้วยความรวดเร็ว”
ความมุ่งมั่นในการยกระดับประสิทธิภาพรถยนต์ ตั้งแต่การพัฒนาเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กลงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ไปจนถึงการปรับปรุงหลักอากาศพลศาสตร์ (Aerodynamic) จะช่วยลดปริมาณมลพิษ เพิ่มอัตราการประหยัดเชื้อเพลิง พร้อมตอบสนองความต้องการอันหลากหลายของลูกค้า ปัจจุบันจีเอ็มจำหน่ายรถห้ารุ่นที่ประหยัดพลังงานมากกว่า 40 ไมล์ต่อแกลลอน (17 กม./ลิตร) จีเอ็มมีการพัฒนผลิตภัณฑ์ในสี่ด้านหลัก ได้แก่ การประหยัดเชื้อเพลิง การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า และการลดมลพิษ พร้อมกับเพิ่มอีกหนึ่งความมุ่งมั่นในตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนั่นคือการลดปริมาณมลพิษคาร์บอนของรถที่ทำตลาดในจีนลง 28 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2563 ที่อาจนำไปสู่การลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ลง 2 ล้านเมตริกตัน และลดการใช้น้ำมันเบนซินลง 1,000 ล้านลิตรต่อปี
ในปี 2556 จีเอ็มมีรถพลังงานไฟฟ้า 153,034 คัน อยู่บนท้องถนน และกำลังเดินหน้าสู่เป้าหมาย 500,000 คัน ภายในปี 2560 เมื่อปีที่แล้ว จีเอ็มได้เปิดตัวรถพลังงานไฟฟ้าใหม่สองรุ่น คือ เชฟโรเลต สปาร์ก อีวี และคาดิลแลค อีแอลอาร์ รถพลังงานไฟฟ้าขยายระยะทางขับเคลื่อน ซึ่งปัจจุบันจีเอ็ม มีรถพลังงานไฟฟ้าที่จำหน่ายในตลาด ได้แก่ โอเปิล แอมพารา ในยุโรป เชฟโรเลต โวลต์ รถไฟฟ้าปลั๊ก-อิน ที่มียอดขายสูงสุดในอเมริกาปี 2555 และ 2556 รวมถึงเชฟโรเลต สปริงโก อีวี ในประเทศจีน
“การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ความมั่นคงด้านพลังงาน และความแออัด ล้วนเป็นความท้าทายต่อสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมของเรา แต่เรามองเห็นความสำคัญของอุปสรรคเหล่านี้” ไมค์ โรบินสัน รองประธานฝ่ายความยั่งยืนและนโยบายระดับโลกของจีเอ็ม กล่าว “เรากำลังปรับเปลี่ยนแนวคิดการเดินทางและการขนส่งรูปแบบใหม่ด้วยการมุ่งเน้นที่ลูกค้าในระยะยาว”
มีผู้บริโภคจำนวนมากขึ้นที่ต้องการใช้รถที่มีเทคโนโลยีตอบสนองการใช้งานในทุกด้าน จีเอ็มจึงพัฒนารถยนต์ที่รองรับการเชื่อมต่อและสร้างการเดินทางขนส่งในอนาคตที่มีความยั่งยืนมากขึ้น ลูกค้าสามารถใช้ระบบออนสตาร์ (OnStar) ค้นหาเส้นทางเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่หนาแน่นและรับข้อมูลเรียลไทม์เกี่ยวกับการขับขี่ให้ประหยัดยิ่งขึ้น จีเอ็มยังคงเดินหน้าสู่วิสัยทัศน์เทคโนโลยีการเชื่อมต่อภายในรถยนต์ที่สามารถแบ่งปันข้อมูลระหว่างกันได้และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อช่วยประเมินสถานการณ์และหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ
“นวัตกรรมใหม่นี้ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ของเรารองรับการใช้งานอยู่เสมอและเพิ่มผลกระทบด้านบวกให้แก่โลกยุคใหม่ที่เชื่อมโยงถึงกัน” โรบินสันกล่าว
จีเอ็มกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตรถยนต์เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยทำการวิเคราะห์วัฏจักรของผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มความเข้าใจเรื่องผลกระทบของก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ ตลอดทั้งการจัดซื้อและการจัดการชิ้นส่วนการผลิตเพื่อเดินหน้าพัฒนาได้อย่างครอบคลุม
จีเอ็มเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์หนึ่งเดียวที่ลงนามในปฏิญญาว่าด้วยสภาพอากาศ (Climate Declaration) ซึ่งยืนยันถึงโอกาสทางธุรกิจในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ จีเอ็ม อยู่ใน 10 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทชั้นนำที่อยู่ในรายงาน CDP Global 500 Climate Change Report 2013 สะท้อนถึงความโปร่งใสในการดำเนินกลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและมาตรการด้านมลพิษและพลังงาน
เมื่อปีที่แล้ว ศูนย์การผลิตของจีเอ็มได้รับมาตรฐานเอเนอร์จี้ สตาร์ ชาลเลนจ์ ในภาคอุตสาหกรรม (ENERGY STAR® Challenge for Industry) เพิ่มอีกเก้าแห่ง รวมทั้งสิ้น 63 แห่งทั่วโลก ซึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ จีเอ็มถือเป็นผู้นำในเรื่องนี้ ในการช่วยประหยัดต้นทุนด้านพลังงานลง 162 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จีเอ็มเดินหน้าลดปริมาณมลพิษคาร์บอนในทุกศูนย์การผลิต ตั้งแต่การยกเลิกการใช้หม้อไอน้ำถ่านหินที่ศูนย์การผลิตดีทรอยท์-แฮมแทรม ไปจนถึงการใช้ก๊าซชีวภาพฝังกลบที่ศูนย์การผลิตฟอร์ต เวย์น และโอเรียน ซึ่งช่วยประหยัดต้นทุนด้านพลังงานลง 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
จีเอ็มและชุมชนที่เกี่ยวข้องได้รับประโยชน์จากการประหยัดพลังงาน น้ำ และการลดของเสียอย่างต่อเนื่อง จีเอ็มสามารถบรรลุเป้าหมายก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ถึงเจ็ดปี ไม่ว่าจะเป็นการลดของเสียและมลพิษจากสารประกอบอินทรีย์ระเหยลง 10 เปอรเซ็นต์ พร้อมกับการเพิ่มศูนย์การผลิตปลอดการฝังกลบ 25 แห่ง และจีเอ็มกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับเป้าหมายใหม่ในอนาคต
สำหรับเป้าหมายการพัฒนากระบวนการผลิตทั่วโลกสำหรับปี 2563 อยู่บนพื้นฐานของปี 2553 ดังนี้ 1.เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็น 66.2 เมกะวัตต์ มุ่งสู่เป้าหมาย 125 เมกะวัตต์ 2.ขยายศูนย์การผลิตปลอดการฝังกลบเป็น 83 แห่ง มุ่งสู่เป้าหมาย 100 แห่ง 3.ลดความเข้มข้นของน้ำลง 9 เปอร์เซ็นต์ มุ่งสู่เป้าหมาย 15 เปอร์เซ็นต์ 4.ลดความเข้มข้นของพลังงานลง 10 เปอร์เซ็นต์ มุ่งสู่เป้าหมาย 20 เปอร์เซ็นต์ และ 5.ลดความเข้มข้นของคาร์บอนลง 7 เปอร์เซ็นต์ มุ่งสู่เป้าหมาย 20 เปอร์เซ็นต์
“เราประทับใจในผลลัพธ์ที่ได้ แต่เราตระหนักอย่างเต็มที่ว่า เรายังมีงานที่ต้องทำอีกมหาศาล” บาร์ร่ากล่าว “เราต้องสร้างนวัตกรรมมากกว่านี้ คว้าโอกาสให้เร็วกว่าเดิม และทำงานให้หนักขึ้น เพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่จะมีความหมายได้ถ้าหากลูกค้า พนักงาน ชุมชน และทุกฝ่ายทีเกี่ยวข้องเห็นพ้องร่วมกันเท่านั้น”
การพลิกโฉมอุตสาหกรรมจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการดำเนินงานของบริษัทเพียงฝ่ายเดียว จีเอ็มร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ที่สำคัญหลายราย อาทิ การจับมือกับบริษัทคู่แข่งอย่างฮอนด้าในการพัฒนาเทคโนโลยีและระบบฟิวเซลล์ ตลอดจนการร่วมมือกับหลายองค์กรพัฒนาเอกชน อย่างบลูกรีน อัลลายแอนซ์ (BlueGreen Alliance) สหภาพนักวิทยาศาสตร์ที่มีจิตสำนึกทางสังคม (Union of Concerned Scientists) กองทุนสัตว์ป่าโลก (World Wildlife Fund) และเครือข่ายเซเรส (Ceres) เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นและประหยัดทรัพยากรที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมยานยนต์
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring
แมรี่ บาร์ร่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของจีเอ็ม กล่าวว่า “ความเอาใจใส่ต่อลูกค้าเน้นย้ำว่า ทำไมความยั่งยืนจึงเป็นกลยุทธ์หลักของจีเอ็มทั้งในปัจจุบันและอนาคต เนื่องจากผู้คนให้ความสนใจมากกว่าแค่ตัวรถ พวกเขาสนใจว่าเราผลิตรถยนต์อย่างไรและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวมากเพียงใด ซึ่งการตระหนักและแรงผลักดันนี้ทำให้เราเปลี่ยนแปลงวิธีการออกแบบ การผลิต การพัฒนาความปลอดภัย คุณภาพ สิ่งแวดล้อม การดูแลลูกค้า และขอบเขตอื่นๆ ด้วยความรวดเร็ว”
ความมุ่งมั่นในการยกระดับประสิทธิภาพรถยนต์ ตั้งแต่การพัฒนาเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กลงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ไปจนถึงการปรับปรุงหลักอากาศพลศาสตร์ (Aerodynamic) จะช่วยลดปริมาณมลพิษ เพิ่มอัตราการประหยัดเชื้อเพลิง พร้อมตอบสนองความต้องการอันหลากหลายของลูกค้า ปัจจุบันจีเอ็มจำหน่ายรถห้ารุ่นที่ประหยัดพลังงานมากกว่า 40 ไมล์ต่อแกลลอน (17 กม./ลิตร) จีเอ็มมีการพัฒนผลิตภัณฑ์ในสี่ด้านหลัก ได้แก่ การประหยัดเชื้อเพลิง การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า และการลดมลพิษ พร้อมกับเพิ่มอีกหนึ่งความมุ่งมั่นในตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนั่นคือการลดปริมาณมลพิษคาร์บอนของรถที่ทำตลาดในจีนลง 28 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2563 ที่อาจนำไปสู่การลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ลง 2 ล้านเมตริกตัน และลดการใช้น้ำมันเบนซินลง 1,000 ล้านลิตรต่อปี
ในปี 2556 จีเอ็มมีรถพลังงานไฟฟ้า 153,034 คัน อยู่บนท้องถนน และกำลังเดินหน้าสู่เป้าหมาย 500,000 คัน ภายในปี 2560 เมื่อปีที่แล้ว จีเอ็มได้เปิดตัวรถพลังงานไฟฟ้าใหม่สองรุ่น คือ เชฟโรเลต สปาร์ก อีวี และคาดิลแลค อีแอลอาร์ รถพลังงานไฟฟ้าขยายระยะทางขับเคลื่อน ซึ่งปัจจุบันจีเอ็ม มีรถพลังงานไฟฟ้าที่จำหน่ายในตลาด ได้แก่ โอเปิล แอมพารา ในยุโรป เชฟโรเลต โวลต์ รถไฟฟ้าปลั๊ก-อิน ที่มียอดขายสูงสุดในอเมริกาปี 2555 และ 2556 รวมถึงเชฟโรเลต สปริงโก อีวี ในประเทศจีน
“การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ความมั่นคงด้านพลังงาน และความแออัด ล้วนเป็นความท้าทายต่อสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมของเรา แต่เรามองเห็นความสำคัญของอุปสรรคเหล่านี้” ไมค์ โรบินสัน รองประธานฝ่ายความยั่งยืนและนโยบายระดับโลกของจีเอ็ม กล่าว “เรากำลังปรับเปลี่ยนแนวคิดการเดินทางและการขนส่งรูปแบบใหม่ด้วยการมุ่งเน้นที่ลูกค้าในระยะยาว”
มีผู้บริโภคจำนวนมากขึ้นที่ต้องการใช้รถที่มีเทคโนโลยีตอบสนองการใช้งานในทุกด้าน จีเอ็มจึงพัฒนารถยนต์ที่รองรับการเชื่อมต่อและสร้างการเดินทางขนส่งในอนาคตที่มีความยั่งยืนมากขึ้น ลูกค้าสามารถใช้ระบบออนสตาร์ (OnStar) ค้นหาเส้นทางเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่หนาแน่นและรับข้อมูลเรียลไทม์เกี่ยวกับการขับขี่ให้ประหยัดยิ่งขึ้น จีเอ็มยังคงเดินหน้าสู่วิสัยทัศน์เทคโนโลยีการเชื่อมต่อภายในรถยนต์ที่สามารถแบ่งปันข้อมูลระหว่างกันได้และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อช่วยประเมินสถานการณ์และหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ
“นวัตกรรมใหม่นี้ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ของเรารองรับการใช้งานอยู่เสมอและเพิ่มผลกระทบด้านบวกให้แก่โลกยุคใหม่ที่เชื่อมโยงถึงกัน” โรบินสันกล่าว
จีเอ็มกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตรถยนต์เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยทำการวิเคราะห์วัฏจักรของผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มความเข้าใจเรื่องผลกระทบของก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ ตลอดทั้งการจัดซื้อและการจัดการชิ้นส่วนการผลิตเพื่อเดินหน้าพัฒนาได้อย่างครอบคลุม
จีเอ็มเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์หนึ่งเดียวที่ลงนามในปฏิญญาว่าด้วยสภาพอากาศ (Climate Declaration) ซึ่งยืนยันถึงโอกาสทางธุรกิจในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ จีเอ็ม อยู่ใน 10 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทชั้นนำที่อยู่ในรายงาน CDP Global 500 Climate Change Report 2013 สะท้อนถึงความโปร่งใสในการดำเนินกลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและมาตรการด้านมลพิษและพลังงาน
เมื่อปีที่แล้ว ศูนย์การผลิตของจีเอ็มได้รับมาตรฐานเอเนอร์จี้ สตาร์ ชาลเลนจ์ ในภาคอุตสาหกรรม (ENERGY STAR® Challenge for Industry) เพิ่มอีกเก้าแห่ง รวมทั้งสิ้น 63 แห่งทั่วโลก ซึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ จีเอ็มถือเป็นผู้นำในเรื่องนี้ ในการช่วยประหยัดต้นทุนด้านพลังงานลง 162 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จีเอ็มเดินหน้าลดปริมาณมลพิษคาร์บอนในทุกศูนย์การผลิต ตั้งแต่การยกเลิกการใช้หม้อไอน้ำถ่านหินที่ศูนย์การผลิตดีทรอยท์-แฮมแทรม ไปจนถึงการใช้ก๊าซชีวภาพฝังกลบที่ศูนย์การผลิตฟอร์ต เวย์น และโอเรียน ซึ่งช่วยประหยัดต้นทุนด้านพลังงานลง 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
จีเอ็มและชุมชนที่เกี่ยวข้องได้รับประโยชน์จากการประหยัดพลังงาน น้ำ และการลดของเสียอย่างต่อเนื่อง จีเอ็มสามารถบรรลุเป้าหมายก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ถึงเจ็ดปี ไม่ว่าจะเป็นการลดของเสียและมลพิษจากสารประกอบอินทรีย์ระเหยลง 10 เปอรเซ็นต์ พร้อมกับการเพิ่มศูนย์การผลิตปลอดการฝังกลบ 25 แห่ง และจีเอ็มกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับเป้าหมายใหม่ในอนาคต
สำหรับเป้าหมายการพัฒนากระบวนการผลิตทั่วโลกสำหรับปี 2563 อยู่บนพื้นฐานของปี 2553 ดังนี้ 1.เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็น 66.2 เมกะวัตต์ มุ่งสู่เป้าหมาย 125 เมกะวัตต์ 2.ขยายศูนย์การผลิตปลอดการฝังกลบเป็น 83 แห่ง มุ่งสู่เป้าหมาย 100 แห่ง 3.ลดความเข้มข้นของน้ำลง 9 เปอร์เซ็นต์ มุ่งสู่เป้าหมาย 15 เปอร์เซ็นต์ 4.ลดความเข้มข้นของพลังงานลง 10 เปอร์เซ็นต์ มุ่งสู่เป้าหมาย 20 เปอร์เซ็นต์ และ 5.ลดความเข้มข้นของคาร์บอนลง 7 เปอร์เซ็นต์ มุ่งสู่เป้าหมาย 20 เปอร์เซ็นต์
“เราประทับใจในผลลัพธ์ที่ได้ แต่เราตระหนักอย่างเต็มที่ว่า เรายังมีงานที่ต้องทำอีกมหาศาล” บาร์ร่ากล่าว “เราต้องสร้างนวัตกรรมมากกว่านี้ คว้าโอกาสให้เร็วกว่าเดิม และทำงานให้หนักขึ้น เพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่จะมีความหมายได้ถ้าหากลูกค้า พนักงาน ชุมชน และทุกฝ่ายทีเกี่ยวข้องเห็นพ้องร่วมกันเท่านั้น”
การพลิกโฉมอุตสาหกรรมจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการดำเนินงานของบริษัทเพียงฝ่ายเดียว จีเอ็มร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ที่สำคัญหลายราย อาทิ การจับมือกับบริษัทคู่แข่งอย่างฮอนด้าในการพัฒนาเทคโนโลยีและระบบฟิวเซลล์ ตลอดจนการร่วมมือกับหลายองค์กรพัฒนาเอกชน อย่างบลูกรีน อัลลายแอนซ์ (BlueGreen Alliance) สหภาพนักวิทยาศาสตร์ที่มีจิตสำนึกทางสังคม (Union of Concerned Scientists) กองทุนสัตว์ป่าโลก (World Wildlife Fund) และเครือข่ายเซเรส (Ceres) เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นและประหยัดทรัพยากรที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมยานยนต์
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring