เป็นที่จับตามอง! จะมีค่ายรถรายใดบ้าง? เริ่มเคลื่อนไหวยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนโครงการอีโคคาร์ ระยะที่ 2 (Phase 2) เพราะเหลือระยะเวลาขีดเส้นตายเพียงเดือนกว่าๆ เท่านั้น แต่จะว่าไปอีโคคาร์ เฟส2 นับว่ามีความแตกต่างในรายละเอียดกับเฟสแรก จะพูดง่ายๆ ว่าก็คือมีกฎที่หินกว่าโครงการระยะแรก ที่ทำให้ค่ายรถต้องพิจารณาอย่างละเอียด แล้วความยากง่ายมันแตกต่างกันอย่างไร? “ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่ง” จะพาไปโฟกัสกันชัดๆ เลยดีกว่า...
โครงการอีโคคาร์ เฟส2 เกิดขึ้นจากภาครัฐต้องการต่อยอดเฟสที่ 1 และยังมีเป้าหมายผลักดันให้ไทยสามารถผลิตรถยนต์ 3 ล้านคันต่อปี ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ จากเหตุผลดังกล่าวจึงอาจทำให้หลายฝ่ายเข้าใจว่า อีโคคาร์ เฟส2 เป็นเพียงโครงการต่อเนื่องจากเฟสที่ 1 ดูแล้วจึงไม่น่าจะยากต่อการเข้าร่วมโครงการ และเป็นการเปิดโอกาสให้กับรายใหม่
แต่จริงๆ แล้วเฟสที่ 2 มีรายละเอียดที่มากกว่านั้น ผู้สมัครรายใหม่ที่จะเข้าร่วมในเฟส 2 ต้องผ่านเงื่อนไขที่สูงและยากกว่าเฟส 1 ไม่เพียงแต่เงินลงทุนที่สูงกว่า ยังมีเงื่อนไขของมาตรฐานรถที่จะผลิตออกมา ทั้งพัฒนาให้อัตราบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง และค่าไอเสียที่ปล่อยต่ำกว่าเฟสแรก เพราะรัฐบาลต้องการที่จะยกมาตรฐานคุณภาพรถที่ผลิตในประเทศให้เท่าเทียมกับในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น อเมริกา และประเทศทางยุโรป เพื่อเสริมภาพลักษณ์ประเทศที่เป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่ใหญ่แห่งหนึ่งของอาเซียน ก่อนที่จะนำประเทศเข้าร่วมอยู่ในกลุ่ม AEC
ทั้งนี้เฉพาะแค่เรื่องอัตราค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่อีโคคาร์ เฟส2 จะต้องทำให้ได้ไม่เกิน 100 กรัม/กิโลเมตร ขณะที่โครงการแรกต้องไม่เกิน 120 กรัม/กิโลเมตร เพียงแค่ 20 กรัมอาจดูเหมือนง่าย แต่ที่จริงแล้วกว่าจะลดค่าไอเสียของรถยนต์ได้แต่ละกรัมเป็นเรื่องที่ยากมาก ในทางวิศวกรรมรถที่จะผ่านมาตรฐานดังกล่าวได้ ส่วนใหญ่เป็นรถลูกผสมเครื่องยนต์ทำงานผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า หรือไม่ต้องเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ใช้เงินลงทุนสูง เท่านั้น ยังไม่นับรวมเรื่องค่าการปล่อยไอเสียระดับ EURO5 (เฟสแรกระบุแค่ EURO4) หรือการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยบนรถ ได้แก่ ติดตั้งระบบเบรก ABS และ ESC เพิ่มเข้ามา ทำให้น้ำหนักรถเพิ่มขึ้น สิ่งเหล่านี้ถือเป็นโจทย์หินมาก (ดูตารางเปรียบเทียบเงื่อนไขอีโคคาร์ 1 และ 2 ประกอบ)
“แน่นอน! เงื่อนไขของอีโคคาร์ เฟส2 มีฏระเบียบที่ยากและมากกว่ารายที่สมัครไปแล้วในเฟส 1 มาก” สุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี รองประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในค่ายรถที่สนใจศึกษาเข้าร่วมโครงการอีโคคาร์ เฟส2 กล่าวและว่า
“แต่เข้าใจภาครัฐที่ดำเนินการเช่นนี้ เพราะต้องการยกระดับมาตรฐานอีโคคาร์ ให้เป็นรถเพื่อสิ่งแวดล้อมจริงๆ ซึ่งกำลังเป็นทิศทางที่กำลังดำเนินไปทั่วโลก โดยเฉพาะไทยที่ต้องการผลักดันให้เป็นฐานการผลิตรถยนต์เทคโนโลยีระดับสูง ไม่ใช่รถราคาถูกหรือรถตลาดทั่วไป ซึ่งปัจจุบันมีหลายประเทศกำลังผลักดันอยู่ แต่ขณะเดียวกันยังให้ประชาชนสามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายในระดับหนึ่ง ด้วยการสนับสนุนสิทธิประโยชน์ต่างๆ เข้ามาช่วย”
ดังนั้นหากดูจากรายละเอียดเงื่อนไขของอีโคคาร์ เฟส2 และมุมมองของค่ายรถที่สนใจศึกษาเข้าร่วมโครงการ นับเป็นงานหินไม่น้อย และไม่ใช่ง่ายๆ ตามที่หลายคนเข้าใจ ว่าเป็นการเอื้อให้กับค่ายรถรายใหม่เข้าโครงการอีโคคาร์ เพราะดูแล้วผู้ผลิตที่จะเข้าร่วมอีโคคาร์ เฟส2 คงต้องทำงานอย่างยากลำบาก ต่อการพัฒนารถให้ผ่านเงื่อนไขใหม่
อย่างไรก็ตาม แม้อีโคคาร์ เฟส2 จะยากกว่าเฟสแรก แต่สิ่งที่ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์มากกว่า คือได้ใช้รถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีมาตรฐานความปลอดภัยสูง โดยเป็นเจ้าของได้ในราคาที่เหมาะสม จากการสนับสนุนของภาครัฐ ผ่านสิทธิ์ประโยชน์ของโครงการอีโคคาร์ เฟส2
ในส่วนของกระแสข่าว มาสด้าเตรียมจะผลักดันรถยนต์ “มาสด้า2” เข้าร่วมโครงการอีโคคาร์นั้น สุรีทิพย์บอกว่า สำหรับอีโคคาร์ เฟส2 ณ วันนี้ มาสด้ายังไม่สามารถยืนยันได้ว่า จะเข้าร่วมหรือไม่ และยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นรถมาสด้ารุ่นไหน เพราะหลังจากยื่นใบสมัครแล้ว ตามข้อกำหนดบริษัทรถยนต์ไม่ต้องเริ่มการผลิตในทันที แต่ต้องผลิตภายในปี 2562
“อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ รัฐบาลระบุเงื่อนไขของมาตรฐานคุณภาพผลิตภัณฑ์ ภายใต้โครงการอีโคคาร์ เฟส2 ไว้อย่างเข้มงวด ซึ่งข่าวที่ออกไปว่ามาสด้าจะส่งรถรุ่นมาสด้า2 เข้าร่วมนั้น ยังไม่สามารถยืนยันได้ เพราะรถรุ่นนี้อาจจะสามารถผ่านเงื่อนไขของเฟสแรก แต่ยังไม่ถึงสำหรับเฟสที่ 2 จากข้อกำหนดตรงนี้จึงมีระยะเวลาให้พัฒนารถรุ่นใหม่ๆ ที่สามารถเข้าเงื่อนไขของเฟส2 ก็ได้” สุรีทิพย์กล่าว
ทั้งหมดคงพอจะบอกถึงสิ่งที่แตกต่าง และความยาก-ง่ายของโครงการอีโคคาร์ เฟส1 และ 2 ได้ชัดเจน แต่ที่สุดเชื่อว่าจะต้องมีค่ายรถโดดเข้าร่วมพอสมควร เพราะจะยากแค่ไหน?... ตลาดอีโคคาร์ได้เกิดขึ้นแล้ว!
โครงการอีโคคาร์ เฟส2 เกิดขึ้นจากภาครัฐต้องการต่อยอดเฟสที่ 1 และยังมีเป้าหมายผลักดันให้ไทยสามารถผลิตรถยนต์ 3 ล้านคันต่อปี ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ จากเหตุผลดังกล่าวจึงอาจทำให้หลายฝ่ายเข้าใจว่า อีโคคาร์ เฟส2 เป็นเพียงโครงการต่อเนื่องจากเฟสที่ 1 ดูแล้วจึงไม่น่าจะยากต่อการเข้าร่วมโครงการ และเป็นการเปิดโอกาสให้กับรายใหม่
แต่จริงๆ แล้วเฟสที่ 2 มีรายละเอียดที่มากกว่านั้น ผู้สมัครรายใหม่ที่จะเข้าร่วมในเฟส 2 ต้องผ่านเงื่อนไขที่สูงและยากกว่าเฟส 1 ไม่เพียงแต่เงินลงทุนที่สูงกว่า ยังมีเงื่อนไขของมาตรฐานรถที่จะผลิตออกมา ทั้งพัฒนาให้อัตราบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง และค่าไอเสียที่ปล่อยต่ำกว่าเฟสแรก เพราะรัฐบาลต้องการที่จะยกมาตรฐานคุณภาพรถที่ผลิตในประเทศให้เท่าเทียมกับในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น อเมริกา และประเทศทางยุโรป เพื่อเสริมภาพลักษณ์ประเทศที่เป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่ใหญ่แห่งหนึ่งของอาเซียน ก่อนที่จะนำประเทศเข้าร่วมอยู่ในกลุ่ม AEC
ทั้งนี้เฉพาะแค่เรื่องอัตราค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่อีโคคาร์ เฟส2 จะต้องทำให้ได้ไม่เกิน 100 กรัม/กิโลเมตร ขณะที่โครงการแรกต้องไม่เกิน 120 กรัม/กิโลเมตร เพียงแค่ 20 กรัมอาจดูเหมือนง่าย แต่ที่จริงแล้วกว่าจะลดค่าไอเสียของรถยนต์ได้แต่ละกรัมเป็นเรื่องที่ยากมาก ในทางวิศวกรรมรถที่จะผ่านมาตรฐานดังกล่าวได้ ส่วนใหญ่เป็นรถลูกผสมเครื่องยนต์ทำงานผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า หรือไม่ต้องเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ใช้เงินลงทุนสูง เท่านั้น ยังไม่นับรวมเรื่องค่าการปล่อยไอเสียระดับ EURO5 (เฟสแรกระบุแค่ EURO4) หรือการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยบนรถ ได้แก่ ติดตั้งระบบเบรก ABS และ ESC เพิ่มเข้ามา ทำให้น้ำหนักรถเพิ่มขึ้น สิ่งเหล่านี้ถือเป็นโจทย์หินมาก (ดูตารางเปรียบเทียบเงื่อนไขอีโคคาร์ 1 และ 2 ประกอบ)
“แน่นอน! เงื่อนไขของอีโคคาร์ เฟส2 มีฏระเบียบที่ยากและมากกว่ารายที่สมัครไปแล้วในเฟส 1 มาก” สุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี รองประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในค่ายรถที่สนใจศึกษาเข้าร่วมโครงการอีโคคาร์ เฟส2 กล่าวและว่า
“แต่เข้าใจภาครัฐที่ดำเนินการเช่นนี้ เพราะต้องการยกระดับมาตรฐานอีโคคาร์ ให้เป็นรถเพื่อสิ่งแวดล้อมจริงๆ ซึ่งกำลังเป็นทิศทางที่กำลังดำเนินไปทั่วโลก โดยเฉพาะไทยที่ต้องการผลักดันให้เป็นฐานการผลิตรถยนต์เทคโนโลยีระดับสูง ไม่ใช่รถราคาถูกหรือรถตลาดทั่วไป ซึ่งปัจจุบันมีหลายประเทศกำลังผลักดันอยู่ แต่ขณะเดียวกันยังให้ประชาชนสามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายในระดับหนึ่ง ด้วยการสนับสนุนสิทธิประโยชน์ต่างๆ เข้ามาช่วย”
ดังนั้นหากดูจากรายละเอียดเงื่อนไขของอีโคคาร์ เฟส2 และมุมมองของค่ายรถที่สนใจศึกษาเข้าร่วมโครงการ นับเป็นงานหินไม่น้อย และไม่ใช่ง่ายๆ ตามที่หลายคนเข้าใจ ว่าเป็นการเอื้อให้กับค่ายรถรายใหม่เข้าโครงการอีโคคาร์ เพราะดูแล้วผู้ผลิตที่จะเข้าร่วมอีโคคาร์ เฟส2 คงต้องทำงานอย่างยากลำบาก ต่อการพัฒนารถให้ผ่านเงื่อนไขใหม่
อย่างไรก็ตาม แม้อีโคคาร์ เฟส2 จะยากกว่าเฟสแรก แต่สิ่งที่ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์มากกว่า คือได้ใช้รถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีมาตรฐานความปลอดภัยสูง โดยเป็นเจ้าของได้ในราคาที่เหมาะสม จากการสนับสนุนของภาครัฐ ผ่านสิทธิ์ประโยชน์ของโครงการอีโคคาร์ เฟส2
ในส่วนของกระแสข่าว มาสด้าเตรียมจะผลักดันรถยนต์ “มาสด้า2” เข้าร่วมโครงการอีโคคาร์นั้น สุรีทิพย์บอกว่า สำหรับอีโคคาร์ เฟส2 ณ วันนี้ มาสด้ายังไม่สามารถยืนยันได้ว่า จะเข้าร่วมหรือไม่ และยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นรถมาสด้ารุ่นไหน เพราะหลังจากยื่นใบสมัครแล้ว ตามข้อกำหนดบริษัทรถยนต์ไม่ต้องเริ่มการผลิตในทันที แต่ต้องผลิตภายในปี 2562
“อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ รัฐบาลระบุเงื่อนไขของมาตรฐานคุณภาพผลิตภัณฑ์ ภายใต้โครงการอีโคคาร์ เฟส2 ไว้อย่างเข้มงวด ซึ่งข่าวที่ออกไปว่ามาสด้าจะส่งรถรุ่นมาสด้า2 เข้าร่วมนั้น ยังไม่สามารถยืนยันได้ เพราะรถรุ่นนี้อาจจะสามารถผ่านเงื่อนไขของเฟสแรก แต่ยังไม่ถึงสำหรับเฟสที่ 2 จากข้อกำหนดตรงนี้จึงมีระยะเวลาให้พัฒนารถรุ่นใหม่ๆ ที่สามารถเข้าเงื่อนไขของเฟส2 ก็ได้” สุรีทิพย์กล่าว
ทั้งหมดคงพอจะบอกถึงสิ่งที่แตกต่าง และความยาก-ง่ายของโครงการอีโคคาร์ เฟส1 และ 2 ได้ชัดเจน แต่ที่สุดเชื่อว่าจะต้องมีค่ายรถโดดเข้าร่วมพอสมควร เพราะจะยากแค่ไหน?... ตลาดอีโคคาร์ได้เกิดขึ้นแล้ว!