ช่วงนี้เข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว ไปสัมผัสสายหมอกและลมหนาวบนภูเขาแถวภาคเหนือ เหตุนี้ฮอนด้า มอเตอร์ ประเทศไทย จึงได้จัดทริปคาราวานท่องเที่ยว “ท้าลมหนาว… กับ ฮอนด้า ซีอาร์-วี อี85” จากจังหวัดเชียงใหม่-ดอยอ่างขาง-เชียงราย ซึ่งนอกจากสนับสนุนการท่องเที่ยวแล้ว ยังได้พิสูจน์สมรรถนะของเอสยูวีตัวเก่ง และสามารถขับรถเที่ยวประหยัดๆ กับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี85
ฮอนด้า ซีอาร์-วี ในรุ่นปัจจุบันเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 เปิดตัวทำตลาดในไทยเมื่อไตรมาสสามของปีที่แล้ว ซึ่งนอกจากจะมีรูปลักษณ์หน้าปรับโฉมใหม่ ยังได้มีการพัฒนาให้ตอบสนองการขับขี่สะดวกสบาย และใส่นวัตกรรมใหม่ๆ ยิ่งขึ้น อย่างระบบช่วยขับขี่ประหยัดน้ำมัน Eco Assist ที่ดูจะกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถฮอนด้าโมเดลใหม่ๆ แล้ว
ในซีอาร์-วีใหม่ความยาวและความสูงตัวถังลดลงเล็กน้อย แต่มีช่วงฐานล้อเท่าเดิม จึงยังทำให้สะดวกสบายในการนั่งโดยสาร ขณะเดียวยังคงไว้เอกลักษณ์ของรถอเนกประสงค์ (SUV : Sport Utility Vehicle) ตอบสนองการใช้งานได้หลากหลาย เห็นได้จากเบาะนั่งที่ปรับใช้งานได้ตามต้องการ กับระบบกลไกพับเบาะหลังราบ หรือ One Motion Seat เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้สะดวกและมากยิ่งขึ้น โดยมีก้านโยกเหมือนกับที่เปิดประตูด้านใน ติดตั้งอยู่ผนังห้องเก็บสัมภาระสองฝั่ง เมื่อดึงจะทำให้เบาะหลังแบบแยก 60 : 40 พับราบเป็นพื้นเดียวกัน นับว่าสะดวกสบายทีเดียว
ขณะที่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน โดยเฉพาะในรุ่นบนๆ ไม่ว่าจะเป็น ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์อัตโนมัติ ระบบการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย เบาะนั่งผู้โดยสารปรับ 4 ทิศทาง ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ เครื่องเล่นดีวีดี พวงมาลัยยังมีปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ และลำโพงเพิ่มทวิตเตอร์อีก 2 ตัว
เหตุนี้ฮอนด้ายังคงมั่นใจว่า... สามารถรับมือกับเอสยูวีรุ่นอื่นๆ ที่มีในตลาดไทยมากขึ้นได้ โดยเฉพาะจุดเด่นที่เป็นรถสามารถเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี85 (E85) น้ำมันเบนซินที่มีราคาถูกสุดได้!!
ทริปท้าลมหนาว… กับฮอนด้า ซีอาร์-วี จึงได้มีการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี85 โดยวิ่งสนามบินจังหวัดเชียงใหม่ มุ่งสู่บ้านไม้หอมอำเภอไชยปราการ และไปสัมผัสสายหมอก-ลมหนาวบนยอดดอกอ่างขาง อันเป็นการปิดทริปของวัน ก่อนที่จะมุ่งสู่จังหวัดเชียงรายในอีกวันต่อมา
การเดินทางครั้งนี้ “ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่ง” ได้ขับรุ่นท็อป 2.4 EL 4WD ซึ่งฮอนด้า ซีอาร์-วี มีทำตลาดทั้งหมด 4 รุ่น เป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ 16 วาล์ว แบบ SOHC i-VTEC ขนาด 2.0 ลิตร 155 แรงม้า โดยมีให้เลือก 2 รุ่น 2.0S ขับเคลื่อน 2 ล้อ ราคา 1.168 ล้านบาท และ 2.0E ขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ ราคา 1.278 ล้านบาท และรุ่นเครื่องยนต์ 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC i-VTEC ขนาด 2.4 ลิตร 170 แรงม้า มีทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2.4EL 2WD) ราคา 1.448 ล้านบาท และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ (2.4 EL 4WD) ราคา 1.543 ล้านบาท ซึ่งทุกรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
สมรรถนะขุมกำลังของรุ่น 2.4 ลิตร จี๊ดจ๊าดใช้ได้เลยทีเดียว เร้าใจมากกว่ารุ่น 2.0 ลิตร ที่เคยลองขับมาก่อนชัดเจน การเร่งแซงทำได้อย่างที่คาดหวัง น้ำหนักพวงมาลัยกำลังดีไม่รู้สึกว่าเบาไปเหมือนกับรุ่น 2.0E แม้เส้นทางจะขึ้นลงเขาและคดโค้งต่อเนื่อง การควบคุมต่างๆ มั่นใจได้
สำหรับระบบความปลอดภัย ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ระบบป้องกันล้อล็อค ABS ระบบกระจายแรงเบรก หรือ EBD มีเหมือนกันหมดทุกรุ่น และในรุ่น 2.0E ขึ้นไปยังเพิ่มกล้องส่องภาพหลัง ขณะที่รุ่น 2.4 ยังเพิ่มระบบช่วยควบคุมการทรงตัว(VSA) ระบบช่วยควบคุมการบังคับพวงมาลัย(MA-EPS) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA) กระจกหน้าต่างคู่หน้าลดการเกาะตัวของหยดน้ำ เป็นต้น
เมื่อสิ้นสุดการเดินทางวันแรกและเป็นไฮไลต์ของทริปที่ดอยอ่างขาง ปรากฎว่าอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยบนจอข้อมูลเกือบ 11 กม./ลิตร ซึ่งหากดูจากการลองขับก่อนหน้านี้ในรุ่น 2.0 ลิตร และใช้น้ำมันอี10 มีอัตราอยู่ที่ 12 กม./ลิตร ด้วยเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่าถือว่าน่าพอใจทีเดียว…
ที่สำคัญเป็นการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี85 ที่ว่ากันว่าสิ้นเปลืองมากกว่าน้ำมันเบนซินอื่นๆ แต่กับตัวเลขที่ออกมา และราคาน้ำมันอี 85 ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 22.98 บาท/ลิตร ย่อมเป็นคำตอบให้กับหลายๆ คนทีเดียว?!...
