คนรักบิมเมอร์ไม่ต้องกลั้นใจอดรอกันนาน เพราะทิ้งระยะจากการเปิดตัวคันจริงของซีรีส์ 4 หรือซีรีส์ 3 คูเป้ในอดีตไปได้ไม่นาน ทางบีเอ็มดับเบิลยูจัดการเผยโฉมหน้าของรุ่นเปิดประทุนตามออกมาแล้ว โดยจะเปิดตัวครั้งแรกในงานแอลเอ มอเตอร์โชว์ ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ ส่วนคนรักความแรงในรหัส M ก็คงต้องร้องเพลงรอกันอีกต่อไป แต่ก็คงอีกไม่นานเท่าไร
งานนี้ทางค่ายใบพัดสีฟ้าแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการแยกตัวจากสายพันธุ์ซีรีส์ 3 เพื่อความเป็นรถสปอร์ตแบบมิดไซส์พรีเมียม ซึ่งก็เป็นสิ่งที่บีเอ็มดับเบิลยูพยายามนำเสนอมาโดยตลอดนับจาก ซีรีส์ 4 เปิดตัวออกมาเมื่อต้นปี
ในแง่ของงานออกแบบ ก็ไม่ต่างจากรถยนต์สายพันธุ์เดียวกันแต่ต่างตัวถังกัน เพราะรุ่นเปิดประทุน ยังยึดดีไซน์ของตัวถังคูเป้เอาไว้เช่นเคย โดยใช้ตัวถังครึ่งคันหน้าร่วมกัน ดังนั้น รูปทรงและเส้นสายก็เลยถูกถอด แบบออกมาครบครัน เช่นเดียวกันด้านท้าย จะต่างออกไปก็ตรงหลังคา ซึ่งเปิดโล่งออกตามสไตล์รถยนต์เปิดประทุนแบบหลังคาแข็งพับได้ด้วยระบไฟฟ้าเหมือนกับรุ่นที่แล้วซึ่งขายผ่านชื่อซีรีส์ 3
โดยหลังคาเป็นแบบ 3 ชิ้น หรือ Retractable Roof ซึ่งเมื่อกางออกจะทำให้ตัวรถมีค่า CD อยู่ที่ 0.28 แต่เมื่อพับเก็บตัวเลขจะเพิ่ม ขึ้นเป็น 0.33 เช่นเดียวกับความสูงของตัวรถจะอยู่ที่ 1,372 มิลลิเมตร หรือมากกว่าซีรีส์ 3 เปิดประทุนรุ่นที่แล้ว 10 มิลลิเมตร โดยสามารถกดปุ่มให้ทำงานที่ความเร็วไม่เกิน 18 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้
ในด้านมิติตัวถังก็ได้รับการขยายจากรุ่นซีรีส์ 3 เปิดประทุนในทุกรายละเอียด ระยะฐานล้อเพิ่มขึ้นอีก 50 มิลลิเมตรเป็น 2,810 มิลลิเมตร และความยาวตัวถัง 4,638 มิลลิเมตร แต่ในแง่ของความสูงใต้ท้องรถถูกปรับให้ลดลงอีก 10 มิลลิเมตร เพื่อการทรงตัวที่ดีในขณะขับขี่ และมีน้ำหนักเบาขึ้น 20 กิโลกรัม
ทางเลือกของเครื่องยนต์ไม่แตกต่างจากรุ่นคูเป้เน้นไปที่สูบเรียง มีให้เลือกตั้งแต่บล็อกเล็กอย่าง 428i เครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี เทอร์โบ Twin Scroll แบบ Di พร้อมระบบวาล์วแปรผัน Double Vanos และระบบควบคุมวาล์วอย่าง Valcetronic มีกำลังสูงสุด 245 แรงม้า ที่ 5,000-6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 35.7 กก.-ม. ที่ 1,250-4,800 รอบ/นาที ใช้เวลา 6.4 วินาทีสำหรับอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และความเร็วปลาย 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อีกรุ่นเป็นบล็อกยอดนิยมของรหัส 435i แบบ 6 สูบเรียง 3,000 ซีซี เทอร์โบคู่ 306 แรงม้า ที่ 5,800-6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 40.7 กก.-ม. ที่ 1,200-5,000 รอบ/นาที อัตราเร่งดีกว่ารุ่น 428i อยู่ 0.8 วินาที แต่ความเร็วปลายโดนล็อกด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์เอาไว้เท่ากัน
ทางเลือกสุดท้ายเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลในรหัส 420d แบบ 4 สูบเรียง 2,000 ซีซี เทอร์โบแบบ VGT และระบบคอมมอนเรลรุ่นใหม่ล่าสุด 184 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 38.7 กก.-ม. ที่ 1,750-2,750 รอบ/นาที อัตราเร่งอยู่ที่ 8.2 วินาที ความเร็วปลาย 235 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ความประหยัด เร้าใจสุดๆ กับตัวเลข 19.6 กิโลเมตร/ลิตรตามการทดสอบของ EU ซึ่งทุกรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และอัตโนมัติ 8 จังหวะเป็นออพชั่น
การทำตลาดจะมีขึ้นปลายปีนี้แน่นอน โดยราคาที่ขายในสหรัฐอเมริกาจะอยู่ที่ 49,675 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 1.54 ล้านบาท ในรุ่น 428i ส่วนรุ่นท็อป 435i จะอยู่ที่ 55,825 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 1.73 ล้านบาท
งานนี้ทางค่ายใบพัดสีฟ้าแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการแยกตัวจากสายพันธุ์ซีรีส์ 3 เพื่อความเป็นรถสปอร์ตแบบมิดไซส์พรีเมียม ซึ่งก็เป็นสิ่งที่บีเอ็มดับเบิลยูพยายามนำเสนอมาโดยตลอดนับจาก ซีรีส์ 4 เปิดตัวออกมาเมื่อต้นปี
ในแง่ของงานออกแบบ ก็ไม่ต่างจากรถยนต์สายพันธุ์เดียวกันแต่ต่างตัวถังกัน เพราะรุ่นเปิดประทุน ยังยึดดีไซน์ของตัวถังคูเป้เอาไว้เช่นเคย โดยใช้ตัวถังครึ่งคันหน้าร่วมกัน ดังนั้น รูปทรงและเส้นสายก็เลยถูกถอด แบบออกมาครบครัน เช่นเดียวกันด้านท้าย จะต่างออกไปก็ตรงหลังคา ซึ่งเปิดโล่งออกตามสไตล์รถยนต์เปิดประทุนแบบหลังคาแข็งพับได้ด้วยระบไฟฟ้าเหมือนกับรุ่นที่แล้วซึ่งขายผ่านชื่อซีรีส์ 3
โดยหลังคาเป็นแบบ 3 ชิ้น หรือ Retractable Roof ซึ่งเมื่อกางออกจะทำให้ตัวรถมีค่า CD อยู่ที่ 0.28 แต่เมื่อพับเก็บตัวเลขจะเพิ่ม ขึ้นเป็น 0.33 เช่นเดียวกับความสูงของตัวรถจะอยู่ที่ 1,372 มิลลิเมตร หรือมากกว่าซีรีส์ 3 เปิดประทุนรุ่นที่แล้ว 10 มิลลิเมตร โดยสามารถกดปุ่มให้ทำงานที่ความเร็วไม่เกิน 18 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้
ในด้านมิติตัวถังก็ได้รับการขยายจากรุ่นซีรีส์ 3 เปิดประทุนในทุกรายละเอียด ระยะฐานล้อเพิ่มขึ้นอีก 50 มิลลิเมตรเป็น 2,810 มิลลิเมตร และความยาวตัวถัง 4,638 มิลลิเมตร แต่ในแง่ของความสูงใต้ท้องรถถูกปรับให้ลดลงอีก 10 มิลลิเมตร เพื่อการทรงตัวที่ดีในขณะขับขี่ และมีน้ำหนักเบาขึ้น 20 กิโลกรัม
ทางเลือกของเครื่องยนต์ไม่แตกต่างจากรุ่นคูเป้เน้นไปที่สูบเรียง มีให้เลือกตั้งแต่บล็อกเล็กอย่าง 428i เครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี เทอร์โบ Twin Scroll แบบ Di พร้อมระบบวาล์วแปรผัน Double Vanos และระบบควบคุมวาล์วอย่าง Valcetronic มีกำลังสูงสุด 245 แรงม้า ที่ 5,000-6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 35.7 กก.-ม. ที่ 1,250-4,800 รอบ/นาที ใช้เวลา 6.4 วินาทีสำหรับอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และความเร็วปลาย 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อีกรุ่นเป็นบล็อกยอดนิยมของรหัส 435i แบบ 6 สูบเรียง 3,000 ซีซี เทอร์โบคู่ 306 แรงม้า ที่ 5,800-6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 40.7 กก.-ม. ที่ 1,200-5,000 รอบ/นาที อัตราเร่งดีกว่ารุ่น 428i อยู่ 0.8 วินาที แต่ความเร็วปลายโดนล็อกด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์เอาไว้เท่ากัน
ทางเลือกสุดท้ายเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลในรหัส 420d แบบ 4 สูบเรียง 2,000 ซีซี เทอร์โบแบบ VGT และระบบคอมมอนเรลรุ่นใหม่ล่าสุด 184 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 38.7 กก.-ม. ที่ 1,750-2,750 รอบ/นาที อัตราเร่งอยู่ที่ 8.2 วินาที ความเร็วปลาย 235 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ความประหยัด เร้าใจสุดๆ กับตัวเลข 19.6 กิโลเมตร/ลิตรตามการทดสอบของ EU ซึ่งทุกรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และอัตโนมัติ 8 จังหวะเป็นออพชั่น
การทำตลาดจะมีขึ้นปลายปีนี้แน่นอน โดยราคาที่ขายในสหรัฐอเมริกาจะอยู่ที่ 49,675 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 1.54 ล้านบาท ในรุ่น 428i ส่วนรุ่นท็อป 435i จะอยู่ที่ 55,825 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 1.73 ล้านบาท
