จากต้นแบบรุ่นTrack’sterในปี 2012 กลายมาเป็นรุ่นจำหน่ายจริงที่เป็นโฉมใหม่หรือเจเนอเรชั่นที่ 2 ของรถยนต์สุดฮิบจากค่ายเกียอย่างรุ่นโซล (Soul) โดยจะเริ่มขายในตลาดสหรัฐอเมริกาแล้วกับราคา 14,700 เหรียญสหรัฐฯหรือ 441,000 บาทเท่านั้น
โซลรุ่นแรกเปิดตัวในปี 2009 พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงในแบรนด์ซึ่งทางเกียได้ตัวปีเตอร์ชเรเยอร์เข้ามานั่งเป็นหัวหน้าทีมออกแบบพร้อมกับสร้างเอกลักษณ์ของงานออกแบบโดยเฉพาะตรงกระจังหน้าที่เรียกว่า Tiger Nose ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ในรถยนต์เกือบทุกรุ่นของเกียที่เปิดตัวออกมาหลังจากนั้น
ในรุ่นใหม่ยังมาพร้อมกับเส้นสายและสไตล์ในการออกแบบที่ยึดรูปแบบมาจากเวอร์ชันแรก บนตัวถังแบบแฮทช์แบ็กทรงสูง 5 ประตูที่เกียเผยว่าใช้เวลา 18 เดือนหลังจากต้นแบบเปิดตัวในการค่อยๆเกลาจากตัวต้นแบบให้กลายเป็นความจริงพร้อมกับการปรับปรุงในด้านการวิศวกรรมเช่นโครงสร้างตัวถังมีความทนทานต่อการบิดตัวมากขึ้นจากรุ่นเเดิม 28.7%มิติตัวถังของรุ่นใหม่มาพร้อมกับระยะฐานล้อที่มีความยาว 2,570 มิลลิเมตรกว้าง 1,800 มิลลิเมตรและในรุ่นมาตรฐานมากับล้อขนาด 17 นิ้วจับคู่กับยาง 215/55R17 และมีรุ่นท็อปล้อ 18 นิ้วกับยางขนาด 235/45R18
ภายในห้องโดยสารของโซลใหม่ได้รับการขยายในทุกสัดส่วนให้มีความกว้างขวาง และรองรับกับความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้นโดยพื้นที่วางขาของเบาะหน้าเพิ่มขึ้นประมาณ 0.8 นิ้วจากรุ่นเดิมมาอยู่ที่ 42.9 นิ้วหรือ 1,090 มิลลิเมตรส่วนบนเบาะหลังเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 0.2 นิ้วเป็น 39.1 นิ้วหรือ 990 มิลลิเมตร
จากการที่โครงสร้างตัวถังมีความทนทานต่อการบิดตัวมากขึ้นทำให้ตัวรถได้รับการปรับปรุงในเรื่องของสมรรถนะในการขับขี่โดยเฉพาะการทรงตัวในขณะเข้าโค้งโดยความทนทานที่เพิ่มขึ้นมาเป็นผลมาจากการใช้เหล็กที่มีความทนทานสูงอย่าง Ultra High Strenght Steel ในสัดส่วน 35% และ High Strenght Steel อีก 31%ส่วนระบบกันสะเทือนด้านหน้าจะเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัทและด้านหลังแบบคานแข็งส่วนระบบพวงมาลัยจะเป็นแบบ Flex Steer System มีให้เลือกถึง 3 แบบในการปรับเซ็ตเพื่อสอดคล้องกับการใช้งานโดยแบ่งเป็น Comfort, Normal และ Sport
ทางเลือกของเครื่องยนต์ที่เปิดเผยออกมาในตอนนี้จะมีความต่างกันไปตามภูมิภาคสำหรับอเมริกาจะเน้นเครื่องยนต์เบนซินโดยใช้ขุมพลังแบบ 4 สูบทวินแคม 16 วาล์ว GDI ใช้ระบบไดเร็กต์อินเจ็กชั่นในการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรงซึ่งกับความจุ 1,600 ซีซีรีดกำลังออกมาได้ 130 แรงม้าที่ 6,300 รอบ/นาทีแรงบิดสูงสุด 16.3 กก.-ม. ที่ 4,850 รอบ/นาที
อีกรุ่นเป็นความจุ 2,000 ซีซี 164 แรงม้าที่ 6,200 รอบ/นาทีแรงบิดสูงสุด 20.8 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาทีเลือกจับคู่ได้ระหว่างเกียร์ธรรมดาหรืออัตโนมัติที่มีจำนวนจังหวะเท่ากันที่ 6 จังหวะส่วนสเปกยุโรปน่าจะมีทางเลือกของเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลให้สัมผัส
ในสหรัฐอเมริกาเริ่มทำตลาดแล้วโดยมีราคาเริ่มต้น14,700 เหรียญสหรัฐฯหรือ 441,000 บาทและรุ่นท็อป 20,300 เหรียญสหรัฐฯหรือ 609,000 บาท
โซลรุ่นแรกเปิดตัวในปี 2009 พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงในแบรนด์ซึ่งทางเกียได้ตัวปีเตอร์ชเรเยอร์เข้ามานั่งเป็นหัวหน้าทีมออกแบบพร้อมกับสร้างเอกลักษณ์ของงานออกแบบโดยเฉพาะตรงกระจังหน้าที่เรียกว่า Tiger Nose ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ในรถยนต์เกือบทุกรุ่นของเกียที่เปิดตัวออกมาหลังจากนั้น
ในรุ่นใหม่ยังมาพร้อมกับเส้นสายและสไตล์ในการออกแบบที่ยึดรูปแบบมาจากเวอร์ชันแรก บนตัวถังแบบแฮทช์แบ็กทรงสูง 5 ประตูที่เกียเผยว่าใช้เวลา 18 เดือนหลังจากต้นแบบเปิดตัวในการค่อยๆเกลาจากตัวต้นแบบให้กลายเป็นความจริงพร้อมกับการปรับปรุงในด้านการวิศวกรรมเช่นโครงสร้างตัวถังมีความทนทานต่อการบิดตัวมากขึ้นจากรุ่นเเดิม 28.7%มิติตัวถังของรุ่นใหม่มาพร้อมกับระยะฐานล้อที่มีความยาว 2,570 มิลลิเมตรกว้าง 1,800 มิลลิเมตรและในรุ่นมาตรฐานมากับล้อขนาด 17 นิ้วจับคู่กับยาง 215/55R17 และมีรุ่นท็อปล้อ 18 นิ้วกับยางขนาด 235/45R18
ภายในห้องโดยสารของโซลใหม่ได้รับการขยายในทุกสัดส่วนให้มีความกว้างขวาง และรองรับกับความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้นโดยพื้นที่วางขาของเบาะหน้าเพิ่มขึ้นประมาณ 0.8 นิ้วจากรุ่นเดิมมาอยู่ที่ 42.9 นิ้วหรือ 1,090 มิลลิเมตรส่วนบนเบาะหลังเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 0.2 นิ้วเป็น 39.1 นิ้วหรือ 990 มิลลิเมตร
จากการที่โครงสร้างตัวถังมีความทนทานต่อการบิดตัวมากขึ้นทำให้ตัวรถได้รับการปรับปรุงในเรื่องของสมรรถนะในการขับขี่โดยเฉพาะการทรงตัวในขณะเข้าโค้งโดยความทนทานที่เพิ่มขึ้นมาเป็นผลมาจากการใช้เหล็กที่มีความทนทานสูงอย่าง Ultra High Strenght Steel ในสัดส่วน 35% และ High Strenght Steel อีก 31%ส่วนระบบกันสะเทือนด้านหน้าจะเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัทและด้านหลังแบบคานแข็งส่วนระบบพวงมาลัยจะเป็นแบบ Flex Steer System มีให้เลือกถึง 3 แบบในการปรับเซ็ตเพื่อสอดคล้องกับการใช้งานโดยแบ่งเป็น Comfort, Normal และ Sport
ทางเลือกของเครื่องยนต์ที่เปิดเผยออกมาในตอนนี้จะมีความต่างกันไปตามภูมิภาคสำหรับอเมริกาจะเน้นเครื่องยนต์เบนซินโดยใช้ขุมพลังแบบ 4 สูบทวินแคม 16 วาล์ว GDI ใช้ระบบไดเร็กต์อินเจ็กชั่นในการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรงซึ่งกับความจุ 1,600 ซีซีรีดกำลังออกมาได้ 130 แรงม้าที่ 6,300 รอบ/นาทีแรงบิดสูงสุด 16.3 กก.-ม. ที่ 4,850 รอบ/นาที
อีกรุ่นเป็นความจุ 2,000 ซีซี 164 แรงม้าที่ 6,200 รอบ/นาทีแรงบิดสูงสุด 20.8 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาทีเลือกจับคู่ได้ระหว่างเกียร์ธรรมดาหรืออัตโนมัติที่มีจำนวนจังหวะเท่ากันที่ 6 จังหวะส่วนสเปกยุโรปน่าจะมีทางเลือกของเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลให้สัมผัส
ในสหรัฐอเมริกาเริ่มทำตลาดแล้วโดยมีราคาเริ่มต้น14,700 เหรียญสหรัฐฯหรือ 441,000 บาทและรุ่นท็อป 20,300 เหรียญสหรัฐฯหรือ 609,000 บาท
