รถหน้าตาแปลกๆ หรือการพยายามเปิดตลาดกลุ่มใหม่ของแบรนด์รถสักแบรนด์อาจจะเรียกเสียงฮือฮาให้กับผู้คนที่ได้พบเห็น แต่เชื่อเถอะว่าถ้าพิจารณาในแง่ของผลตอบแทนทางการเงินแล้ว...มันคือหายนะชัดๆ นี่เอง
นิตยสาร The Ecomist ได้ตีพิมพ์บทความที่มาจากงานวิจัยของ Sanford C. Bernstein เกี่ยวกับรถยนต์ยุโรปที่พาบริษัทขาดทุนย่อยยับ และไม่น่าเชื่อว่ารถยนต์ไซส์เล็กอย่างสมาร์ทจะพาบริษัทแม่อย่างเดมเลอร์ขาดทุนย่อยยับ เรียกว่าแทบจะฉีกแบงค์เป็นรายวันเลย
มีการประเมินว่าสมาร์ทรุ่นแรกที่เปิดตัวในปี 1997 และขายจนถึงปี 2006 พร้อมกับเปลี่ยนชื่อมาเป็น For Two นั้นจะสูบเงินของเดมเลอร์ไปมากถึง 3.35 พันล้านยูโร หรือ 134,000 ล้านบาท จากการผลิตรถยนต์จำนวน 749,000 คันสำหรับขายในช่วง 10 ปีนั้น โดยเหตุผลของการขาดทุนนั้นมาจากอะไรก็ตามที่เรียกว่าเป็น ‘ครั้งแรก’
นั่นเป็นเพราะเดมเลอร์ต้องอัดเงินก้อนโตเข้าไปในระบบเพื่อการพัฒนาอะไรที่เป็นของใหม่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นพื้นตัวถังแบบขับเคลื่อนล้อหลังเครื่องยนต์วางท้ายสำหรับใช้กับรถยนต์ไซส์เล็กที่ไม่สามารถแชร์กับบริษัทในเครือได้เลย เช่นเดียวกับเครื่องยนต์แบบ 3 สูบบล็อกใหม่
แถมเมื่อเปิดตัวออกมาแล้ว กลับไม่ฮ็อตฮิตอย่างที่คิด เพราะยอดขายต่ำกว่าตัวเลขที่ประมาณการไว้ถึง 40% และเมื่อเข้าสูตรคำนวณออกมาเป็นการขาดทุนต่อคันแล้วเดมเลอร์ต้องเสียเงิน 4,470 ยูโร หรือ 178,800 บาทต่อการขาย For Two 1 คันเลยทีเดียว
ส่วนอีกคันที่ถือเป็นหายนะสำหรับผู้ผลิตคือ สติลโล่ รถยนต์คอมแพ็กต์มาดสปอร์ตของค่ายเฟียต ที่ทางแบรนด์ดังของอิตาลีหวังว่าจะมากวาดยอดขายต่อยอดจาก บราโว/บราวา และถ้าจะหาแพะว่าใครคือต้นเหตุที่ทำให้เฟียตแทบล้มละลายในช่วงนั้น รถยนต์คันนี้น่าจะมีส่วนไม่มากก็น้อย
สติลโล่ เปิดตัวขายในระหว่างปี 2001-2009 และมีการผลิตออกมาจำนวน 769,000 คัน โดยที่บริษัทต้องลงทุนในระบบทั้งหมด 2,100 ล้านยูโร หรือ 84,000 ล้านบาท หรือขาดทุนเฉลี่ย 2,730 ยูโร หรือ 109,000 บาทต่อคัน แถมยอดขายยังไม่เป็นไปตามเป้า โดยมีตัวเลขน้อยกว่าเกณฑ์ถึง 70%
นั่นรถพวก Mass production ที่ขาดทุนเพราะมีปริมาณ แต่ถ้าเอาแบบขาดทุนต่อคันมากที่สุด คือ บูกัตตี้ เวย์รอน ซึ่งในตอนนี้ครองสถิติเป็นรถสปอร์ตจากไลน์ผลิตที่มีราคาแพงสุด และทำให้บริษัทขาดทุนต่อคันมากที่สุด ว่ากันว่า 1 คันที่ขายออกไปได้นั้น บริษัทต้องเสียเงินถึง 4,617,500 ยูโร หรือ 184.7 ล้านบาทเลยทีเดียว
ใช่แล้วคราวนี้ทีมข่าว ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่งพิมพ์ไม่ผิดหรอก เพราะนี่คือตัวเลขที่หารจากจำนวนขายกับเงินลงทุนของโปรเจ็กต์ โดยโฟล์คสวาเกน บริษัทแม่ของบูกัตตี้ต้องทุ่มเงินลงไปในโครงการนี้มากกว่า 1,700 ล้านยูโร หรือ 68,000 ล้านบาท แต่ตลอด 8 ปีนับจาก 2005-2013 บูกัตตี้มียอดขายไม่ถึง 400 คัน
นอกจากนั้นโฟล์คสวาเกนยังคงครองอันดับ 2 ของรถยนต์ที่มียอดขายทุนต่อคันสูงสุด โดยอีกรุ่นคือ รถยนต์ระดับหรูรุ่น เฟตันที่ทำตลาดระหว่างปี 2001-2012 โดยโปรเจ็กต์นี้ลงเงินไปทั้งสิ้น 1.99 พันล้านยูโร หรือ 79,600 ล้านบาท แต่ขายได้เพียง 72,000 คัน เท่ากับว่าต่อคันมีค่าเฉลี่ยการขาดทุนอยู่ที่ 28,100 ยูโร หรือ 1.12 ล้านบาท เรียกว่าทำเอาโฟล์คสวาเกนถึงกับนอนไม่หลับแน่ๆ
นิตยสาร The Ecomist ได้ตีพิมพ์บทความที่มาจากงานวิจัยของ Sanford C. Bernstein เกี่ยวกับรถยนต์ยุโรปที่พาบริษัทขาดทุนย่อยยับ และไม่น่าเชื่อว่ารถยนต์ไซส์เล็กอย่างสมาร์ทจะพาบริษัทแม่อย่างเดมเลอร์ขาดทุนย่อยยับ เรียกว่าแทบจะฉีกแบงค์เป็นรายวันเลย
มีการประเมินว่าสมาร์ทรุ่นแรกที่เปิดตัวในปี 1997 และขายจนถึงปี 2006 พร้อมกับเปลี่ยนชื่อมาเป็น For Two นั้นจะสูบเงินของเดมเลอร์ไปมากถึง 3.35 พันล้านยูโร หรือ 134,000 ล้านบาท จากการผลิตรถยนต์จำนวน 749,000 คันสำหรับขายในช่วง 10 ปีนั้น โดยเหตุผลของการขาดทุนนั้นมาจากอะไรก็ตามที่เรียกว่าเป็น ‘ครั้งแรก’
นั่นเป็นเพราะเดมเลอร์ต้องอัดเงินก้อนโตเข้าไปในระบบเพื่อการพัฒนาอะไรที่เป็นของใหม่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นพื้นตัวถังแบบขับเคลื่อนล้อหลังเครื่องยนต์วางท้ายสำหรับใช้กับรถยนต์ไซส์เล็กที่ไม่สามารถแชร์กับบริษัทในเครือได้เลย เช่นเดียวกับเครื่องยนต์แบบ 3 สูบบล็อกใหม่
แถมเมื่อเปิดตัวออกมาแล้ว กลับไม่ฮ็อตฮิตอย่างที่คิด เพราะยอดขายต่ำกว่าตัวเลขที่ประมาณการไว้ถึง 40% และเมื่อเข้าสูตรคำนวณออกมาเป็นการขาดทุนต่อคันแล้วเดมเลอร์ต้องเสียเงิน 4,470 ยูโร หรือ 178,800 บาทต่อการขาย For Two 1 คันเลยทีเดียว
ส่วนอีกคันที่ถือเป็นหายนะสำหรับผู้ผลิตคือ สติลโล่ รถยนต์คอมแพ็กต์มาดสปอร์ตของค่ายเฟียต ที่ทางแบรนด์ดังของอิตาลีหวังว่าจะมากวาดยอดขายต่อยอดจาก บราโว/บราวา และถ้าจะหาแพะว่าใครคือต้นเหตุที่ทำให้เฟียตแทบล้มละลายในช่วงนั้น รถยนต์คันนี้น่าจะมีส่วนไม่มากก็น้อย
สติลโล่ เปิดตัวขายในระหว่างปี 2001-2009 และมีการผลิตออกมาจำนวน 769,000 คัน โดยที่บริษัทต้องลงทุนในระบบทั้งหมด 2,100 ล้านยูโร หรือ 84,000 ล้านบาท หรือขาดทุนเฉลี่ย 2,730 ยูโร หรือ 109,000 บาทต่อคัน แถมยอดขายยังไม่เป็นไปตามเป้า โดยมีตัวเลขน้อยกว่าเกณฑ์ถึง 70%
นั่นรถพวก Mass production ที่ขาดทุนเพราะมีปริมาณ แต่ถ้าเอาแบบขาดทุนต่อคันมากที่สุด คือ บูกัตตี้ เวย์รอน ซึ่งในตอนนี้ครองสถิติเป็นรถสปอร์ตจากไลน์ผลิตที่มีราคาแพงสุด และทำให้บริษัทขาดทุนต่อคันมากที่สุด ว่ากันว่า 1 คันที่ขายออกไปได้นั้น บริษัทต้องเสียเงินถึง 4,617,500 ยูโร หรือ 184.7 ล้านบาทเลยทีเดียว
ใช่แล้วคราวนี้ทีมข่าว ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่งพิมพ์ไม่ผิดหรอก เพราะนี่คือตัวเลขที่หารจากจำนวนขายกับเงินลงทุนของโปรเจ็กต์ โดยโฟล์คสวาเกน บริษัทแม่ของบูกัตตี้ต้องทุ่มเงินลงไปในโครงการนี้มากกว่า 1,700 ล้านยูโร หรือ 68,000 ล้านบาท แต่ตลอด 8 ปีนับจาก 2005-2013 บูกัตตี้มียอดขายไม่ถึง 400 คัน
นอกจากนั้นโฟล์คสวาเกนยังคงครองอันดับ 2 ของรถยนต์ที่มียอดขายทุนต่อคันสูงสุด โดยอีกรุ่นคือ รถยนต์ระดับหรูรุ่น เฟตันที่ทำตลาดระหว่างปี 2001-2012 โดยโปรเจ็กต์นี้ลงเงินไปทั้งสิ้น 1.99 พันล้านยูโร หรือ 79,600 ล้านบาท แต่ขายได้เพียง 72,000 คัน เท่ากับว่าต่อคันมีค่าเฉลี่ยการขาดทุนอยู่ที่ 28,100 ยูโร หรือ 1.12 ล้านบาท เรียกว่าทำเอาโฟล์คสวาเกนถึงกับนอนไม่หลับแน่ๆ
10 อันดับรถยนต์ทำขาดทุนสูงสุดในยุโรป | ลงทุนพัฒนา (ล้านยูโร) | ขาดทุนต่อคัน (ยูโร) |
1.สมาร์ท For Two | 3.35 | 4,470 |
2.เฟียต สติลโล่ | 2.10 | 2,730 |
3.โฟล์คสวาเกน เฟตัน | 1.99 | 28,100 |
4.เปอโยต์ 1007 | 1.90 | 15,380 |
5.เมอร์เซเดส-เบนซ์ A-Class | 1.71 | 1,440 |
6.บูกัตตี้ เวย์รอน | 1.70 | 4,617,500 |
7.จากัวร์ X-Type | 1.70 | 4,690 |
8.เรโนลต์ ลากูน่า | 1.54 | 3,550 |
9.ออดี้ A2 | 1.33 | 7,530 |
10.เรโนลต์ เวลซาทิส | 1.20 | 18,710 |