เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลุยตลาดรถหรูหรา เอาใจเศรษฐีกระเป๋าหนัก เปิดตัว เอส-คลาส ใหม่ S 400 HYBRID AMG Premium ที่พกพาเทคโนโลยีสุดล้ำมาแบบครบครัน โดยเฉพาะ 3 จุดเด่น แบบไร้เทียมทาน ไม่ว่าจะเป็นระบบการขับขี่แบบอัจฉริยะ (Intelligent Drive) เทคโนโลยีประหยัดพลังงานใหม่ล่าสุด (Efficient Technology) และความหรูหราสง่างามในทุกองค์ประกอบ (Essence of Luxury) พร้อมเปิดราคาแบบเบา เบา 11.4 ล้านบาท
นาย ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)จำกัด กล่าวว่า“เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาสใหม่ ที่นำมาเปิดตลาดในไทยมีรุ่นเดียว คือ S 400 HYBRID AMG Premium ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันพร้อมใส่ใจในทุกรายละเอียดทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องรูปลักษณ์ใหม่ที่น่าหลงใหล สมรรถนะยอดเยี่ยม ความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ความสะดวกสบายที่เหนือกว่า แต่ยังคงความสปอร์ตปราดเปรียว ทำให้เ อส-คลาสโฉมใหม่เป็นรถที่สมบูรณ์แบบที่สุด และสามารถตอบโจทย์ตามปรัชญาของเมอร์เซเดส-เบนซ์ภายใต้สโลแกน“The best or nothing.” และกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูงหรือเจ้าของกิจการได้เป็นอย่างดี”
ดีไซน์ภายนอกสะท้อนความทันสมัย
เอส-คลาส โฉมใหม่ได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่หมด แต่ยังคงความหรูหราสง่างาม ทันสมัยและเฉียบคม มีความเป็นสปอร์ตมากขึ้น โดยกระจังหน้ามีขนาดใหญ่กว่าเดิม โดยได้รับการออกแบบให้มีความโดดเด่นเป็น 3มิติ นับตั้งแต่ฝากระโปรงแบบ long bonnet ความสวยงามของลายเส้นพริ้วไหวด้านข้าง(dropping line) ความโค้งมนของเส้นหลังคา (roof line) ตลอดด้านท้ายรถที่ออกแบบให้มีความลาดเท ทำให้เอส-คลาส ใหม่มีสัดส่วนตัวรถสวยงามสมบูรณ์แบบ
มิติของตัวรถเอส-คลาส มีขนาดใหญ่ขึ้นมากกว่ารุ่นเดิมคือ ความยาว xความกว้าง xความสูง ที่ 5,246 x 1,899 x 1,496 มม. ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ทำให้รุ่นใหม่นี้มีความยาวขึ้น 20 มม.กว้างขึ้น 28 มม. และสูงขึ้น 17 มม. ส่งผลให้มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่ม ส่วนค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานตามหลักอากาศพลศาสตร์ (Cd) ของรถรุ่น S 400 HYBRID AMG Premium อยู่ที่ 0.26 หรืออาจกล่าวได้ว่าค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานของตระกูลเอส-คลาส รุ่นใหม่ นี้มีค่าต่ำสุดเท่ากับ 0.23 ซึ่งนับเป็นประวัติการณ์ใหม่ในเซ็กเมนท์ของรถยนต์รุ่นนี้ และเป็นที่สองรองจากรุ่น CLA-CLASS ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานต่ำที่สุดในโลกคือแค่ 0.22
นอกจากนี้ เอส-คลาส รุ่นใหม่ ยังใช้เทคโนโลยีระบบส่องสว่างเป็นแบบLED ตลอดคันทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของโลก โดยรวมรถคันนี้มีหลอดไฟ LED เกือบ 500 ดวง โดยไฟหน้าใช้หลอดไฟ LED ข้างละ 56 ดวง ไฟท้าย ใช้หลอดไฟ LED ข้างละ 35 ดวงโดยมีหลอดไฟ LED สำหรับไฟตัดหมอกหลังอีก4 ดวง ส่วนภายในห้องโดยสารของตัวรถมีใช้มากถึง 300 ดวง สามารถประหยัดพลังงานโดยรวมถึงกว่า 75 % เมื่อเทียบกับหลอดไส้แบบธรรมดา นอกจากนั้นยังมีระบบ LED Intelligent Light System สำหรับโคมไฟหน้าซึ่งจะช่วยปรับลำแสงให้เหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพอากาศ อาทิ การขับขี่ในชนบท (country mode), การขับขี่บนทางหลวง ( motorway mode ), การขับขี่บนถนนที่ปกคลุมไปด้วยหมอก (enhanced fog lamps), การปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (active light function), การเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (cornering light function)และการปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist Plus)
อีกหนึ่งจุดเด่นคือ ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติแบบ Adaptive Highbeam Assist Plus ที่ระบบจะปรับลดระดับแสงไฟสูงลงอัตโนมัติเมื่อพบว่ามีรถยนต์คันอื่นวิ่งสวนทางมา หรือเข้าใกล้รถยนต์คันที่วิ่งนำหน้าอยู่ส่งผลให้ผู้ขับขี่สามารถเปิดไฟสูงไว้ที่ระดับสูงสุดได้ตลอดเวลา โดยที่ไฟสูงจะไม่รบกวนหรือก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ถนน และผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องปิดหรือเปิดไฟสูงด้วยตนเองบ่อยๆ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถขับขี่โดยเปิดไฟสูงไว้ได้นานขึ้นจึงขับขี่ได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ขณะที่ไฟท้ายสามารถปรับความเข้มของแสงได้อัตโนมัติเพื่อผู้ใช้ถนน
ภายในหรูหราสง่างาม
การตกแต่งภายในของเอส-คลาส ยังคงเน้นองค์ประกอบที่ผสานเอารูปแบบดั้งเดิม ความหรูหรา รวมถึงอุปกรณ์คุณภาพสูง การใช้วัสดุคุณภาพสูง และการออกแบบที่เน้นการใช้งานได้จริงเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นลายไม้ที่ได้รับการออกแบบพิเศษ designo high-gloss sunburst brown myrtle wood แบบ 2 โทนสี (two-tone) รวมทั้งเบาะนั่งหุ้มหนัง NappaแบบExclusive package ตัดเย็บลายเบาะแบบ diamond design พร้อมด้วยผ้าหลังคา และแผงบังแดดด้านหน้าหุ้มด้วย DINAMICA microfibre พร้อมด้วยไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสาร (Ambient Lighting) ที่สามารถปรับเฉดได้ถึง 7 สี
ระบบให้บริการข้อมูลของ เอส-คลาส จะแสดงผลผ่านหน้าจอดิสเพลย์แบบTFT มีความละเอียดสูงมีขนาด 31.2 ซม. จำนวน 2 จอ โดยตัวแรกด้านหน้าคนขับสำหรับให้ข้อมูลการวัดค่าต่างๆ ส่วนจอด้านซ้ายสำหรับให้ข้อมูลระบบความบันเทิงต่างๆรวมถึงการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต และยังสามารถควบคุมการทำงานได้จากรีโมทคอนโทลและแป้นควบคุมตรงคอนโซลกลาง ที่นั่งด้านหลังมีจอแสดงผลอีก 2ตำแหน่ง ขนาด 25.4 ซม. อีกทั้งระบบควบคุมอุณหภูมิภายในเมอร์เซเดส-เบนซ์เอส-คลาส ใหม่ สามารถปรับอุณหภูมิได้พอเหมาะสะดวกสบายทุกที่นั่งซึ่งนับเป็นมาตรฐานใหม่ที่ระบบสามารถแยกการทำงานอิสระได้ตามความต้องการของผู้โดยสารแต่ละที่นั่ง
ที่พิเศษสำหรับ เอส-คลาส คือได้รับการติดตั้งระบบ active perfuming system มาพร้อมกับ AIR-BALANCE Package เป็นครั้งแรกของโลก โดยระบบจะผลิตกลิ่นหอมและปรับระดับความหอมได้ด้วยตัวคุณเอง ขณะที่เบาะหนังได้รับการออกแบบโครงสร้างเบาะให้มีน้ำหนักเบาขึ้นประมาณ 20 กก. โดยติดตั้งระบบนวดแบบผ่อนคลาย พร้อมระบบระบายอากาศเบาะนั่งโดยใช้พัดลมดูดอากาศ (reversing fans) และระบบอุ่นเบาะนั่ง สำหรับเบาะนั่งด้านหลังฝั่งซ้ายเป็นแบบ Executive Seat สามารถปรับเอนพนักพิงเพิ่มขึ้นได้จาก 37 เป็น 43.5 องศา ซึ่งเป็นองศาของการปรับเอนพนักพิงที่มากที่สุดในเซ็กเมนต์ของรถยนต์รุ่นนี้
ที่นั่งตอนหลัง เอส-คลาส ใหม่ เพิ่มแพ็กเกจสำหรับผู้โดยสาร (Chauffeur package) ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกสบายและป้องกันการได้รับการบาดเจ็บจากการเกิดอุบัติเหตุ ด้วยฟังก์ชั่น “Chauffeur” ที่สามารถปรับเลื่อนเบาะที่นั่งผู้โดยสารด้านหน้าไปด้านหน้าได้อีก 40 มม. และเลื่อนขึ้นด้านบนได้อีก 37 มม. จากตำแหน่งปกติ ทำให้มีพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารตอนหลังเพิ่มขึ้น
เอส-คลาส ใช้ชุดเครื่องเสียงคุณภาพ Burmester® Surround Sound System พร้อมลำโพง 13 ตัว ซึ่งให้ระดับเสียงคมชัดเซอร์ราวซาว์รอบทิศทางแบบ “feel-good sound” โดยจะทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพกับระบบFrontbass systemซึ่งเป็นระบบที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้พัฒนาเทคโนโลยีนี้และได้นำมาใช้ในรถยนต์ซาลูนเป็นครั้งแรก
ระบบการขับเคลื่อน - ประหยัดน้ำมัน
เอส-คลาส รุ่นที่เปิดตัวในประเทศไทย คือ รุ่นS 400 HYBRID AMG Premium ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน แบบ V6 ขนาด 3,498 ซีซี กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 225 กิโลวัตต์ (306แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตรที่ 3,500 - 5,250รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 20 กิโลวัตต์( 27แรงม้า) แรงบิดสูงสุดที่ 250 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0 - 100 กม./ชม. ภายในระยะเวลา 6.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 16 กม./ ลิตร และอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยเฉลี่ย 147 กรัม/กม.โดยพละกำลังถูกถ่ายทอดผ่านเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 7 จังหวะแบบ 7G-TRONIC PLUS พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบ DIRECT SELECT ที่สำคัญมีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงน้อยกว่ารุ่นก่อนถึง 20 %
ส่วนตัวถังลือกใช้โครงสร้างแบบอะลูมเนียมผสม และใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบากว่าที่เคยใช้ในรุ่นก่อนหน้าถึง 95 กิโลกรัม แต่มีความแข็งแกร่งและทนทานต่อแรงบิดเพิ่มขึ้น 50% สำหรับระบบความปลอดภัย ล่าสุดได้เพิ่มระบบ PRE-SAFE®Impulse ซึ่งจะทำงานเมื่อเกิดอุบัติเหตุจากด้านหน้า โดย ผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าจะถูกเข็มขัดนิรภัยดึงให้ออกห่างจากทิศทางที่ถูกเชี่ยวชนตั้งแต่จังหวะแรกก่อนรถถูกชน และจะลดแรงดึงกลับ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและความรุนแรงของอาการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้น
สำหรับความปลอดภัยผู้โดยสารด้านหลัง มีการเพิ่มอุปกรณ์หัวเข็มขัดนิรภัยแบบเรืองแสงที่เบาะหลังแบบปรับระดับเองอัตโนมัติ (Active Seat-Belt Buckle) เข็มขัดนิรภัยแบบถุงลมสำหรับผู้โดยสารด้านหลังริมหน้าต่าง (Beltbag) เข็มขัดนิรภัยเบาะหลังนี้จะทำหน้าที่ปกป้องโดยรั้งตัวผู้โดยสารโดยอัตโนมัติเพื่อเตรียมพร้อมกับอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น เท่ากับว่าเอส-คลาส ใหม่มาพร้อมกับเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยใหม่ที่ผสานความสะดวกสบายและความปลอดภัยเข้าไว้ด้วยกันซึ่งเรียกว่าระบบ “Mercedes-Benz Intelligent Drive” เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยสูงสุด
นอกจากนั้นยังมีระบบอำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR (Acceleration skid control) ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชั่น HOLD และ Hill-Start Assist ระบบรักษาระดับความเร็ว (cruise control) และจำกัดความเร็ว (SPEEDTRONIC) เซ็นเซอร์ช่วยในการนำรถเข้าจอด (PARKTRONIC) กล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยรถ (reversing camera) และระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist) ฟังก์ชันเปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ (HANDS-FREE ACCESS) และระบบ MAGIC VISION CONTROL ซึ่งเป็นระบบการทำงานของใบปัดน้ำฝนที่มีประสิทธิภาพสูง โดยน้ำฉีดล้างกระจกจะถูกส่งออกมาจากก้านปัดน้ำฝนโดยตรง โดยมีการปัดในสองทิศทาง ทำให้ไม่มีการกระจายตัวของละอองน้ำที่จะมาบดบังทัศนวิสัยของผู้ขับขี่ในขณะฉีดน้ำ และยังช่วยให้การทำความสะอาดกระจกบังลมหน้าสามารถทำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
เอส-คลาส ใหม่ มาพร้อมกับราคา 11.4 ล้านบาท และลูกค้าสามารถสั่งจองได้ตั้งแต่วันนี้. รับรถปลายปี …
นาย ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)จำกัด กล่าวว่า“เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาสใหม่ ที่นำมาเปิดตลาดในไทยมีรุ่นเดียว คือ S 400 HYBRID AMG Premium ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันพร้อมใส่ใจในทุกรายละเอียดทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องรูปลักษณ์ใหม่ที่น่าหลงใหล สมรรถนะยอดเยี่ยม ความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ความสะดวกสบายที่เหนือกว่า แต่ยังคงความสปอร์ตปราดเปรียว ทำให้เ อส-คลาสโฉมใหม่เป็นรถที่สมบูรณ์แบบที่สุด และสามารถตอบโจทย์ตามปรัชญาของเมอร์เซเดส-เบนซ์ภายใต้สโลแกน“The best or nothing.” และกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูงหรือเจ้าของกิจการได้เป็นอย่างดี”
ดีไซน์ภายนอกสะท้อนความทันสมัย
เอส-คลาส โฉมใหม่ได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่หมด แต่ยังคงความหรูหราสง่างาม ทันสมัยและเฉียบคม มีความเป็นสปอร์ตมากขึ้น โดยกระจังหน้ามีขนาดใหญ่กว่าเดิม โดยได้รับการออกแบบให้มีความโดดเด่นเป็น 3มิติ นับตั้งแต่ฝากระโปรงแบบ long bonnet ความสวยงามของลายเส้นพริ้วไหวด้านข้าง(dropping line) ความโค้งมนของเส้นหลังคา (roof line) ตลอดด้านท้ายรถที่ออกแบบให้มีความลาดเท ทำให้เอส-คลาส ใหม่มีสัดส่วนตัวรถสวยงามสมบูรณ์แบบ
มิติของตัวรถเอส-คลาส มีขนาดใหญ่ขึ้นมากกว่ารุ่นเดิมคือ ความยาว xความกว้าง xความสูง ที่ 5,246 x 1,899 x 1,496 มม. ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ทำให้รุ่นใหม่นี้มีความยาวขึ้น 20 มม.กว้างขึ้น 28 มม. และสูงขึ้น 17 มม. ส่งผลให้มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่ม ส่วนค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานตามหลักอากาศพลศาสตร์ (Cd) ของรถรุ่น S 400 HYBRID AMG Premium อยู่ที่ 0.26 หรืออาจกล่าวได้ว่าค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานของตระกูลเอส-คลาส รุ่นใหม่ นี้มีค่าต่ำสุดเท่ากับ 0.23 ซึ่งนับเป็นประวัติการณ์ใหม่ในเซ็กเมนท์ของรถยนต์รุ่นนี้ และเป็นที่สองรองจากรุ่น CLA-CLASS ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานต่ำที่สุดในโลกคือแค่ 0.22
นอกจากนี้ เอส-คลาส รุ่นใหม่ ยังใช้เทคโนโลยีระบบส่องสว่างเป็นแบบLED ตลอดคันทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของโลก โดยรวมรถคันนี้มีหลอดไฟ LED เกือบ 500 ดวง โดยไฟหน้าใช้หลอดไฟ LED ข้างละ 56 ดวง ไฟท้าย ใช้หลอดไฟ LED ข้างละ 35 ดวงโดยมีหลอดไฟ LED สำหรับไฟตัดหมอกหลังอีก4 ดวง ส่วนภายในห้องโดยสารของตัวรถมีใช้มากถึง 300 ดวง สามารถประหยัดพลังงานโดยรวมถึงกว่า 75 % เมื่อเทียบกับหลอดไส้แบบธรรมดา นอกจากนั้นยังมีระบบ LED Intelligent Light System สำหรับโคมไฟหน้าซึ่งจะช่วยปรับลำแสงให้เหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพอากาศ อาทิ การขับขี่ในชนบท (country mode), การขับขี่บนทางหลวง ( motorway mode ), การขับขี่บนถนนที่ปกคลุมไปด้วยหมอก (enhanced fog lamps), การปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (active light function), การเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (cornering light function)และการปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist Plus)
อีกหนึ่งจุดเด่นคือ ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติแบบ Adaptive Highbeam Assist Plus ที่ระบบจะปรับลดระดับแสงไฟสูงลงอัตโนมัติเมื่อพบว่ามีรถยนต์คันอื่นวิ่งสวนทางมา หรือเข้าใกล้รถยนต์คันที่วิ่งนำหน้าอยู่ส่งผลให้ผู้ขับขี่สามารถเปิดไฟสูงไว้ที่ระดับสูงสุดได้ตลอดเวลา โดยที่ไฟสูงจะไม่รบกวนหรือก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ถนน และผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องปิดหรือเปิดไฟสูงด้วยตนเองบ่อยๆ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถขับขี่โดยเปิดไฟสูงไว้ได้นานขึ้นจึงขับขี่ได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ขณะที่ไฟท้ายสามารถปรับความเข้มของแสงได้อัตโนมัติเพื่อผู้ใช้ถนน
ภายในหรูหราสง่างาม
การตกแต่งภายในของเอส-คลาส ยังคงเน้นองค์ประกอบที่ผสานเอารูปแบบดั้งเดิม ความหรูหรา รวมถึงอุปกรณ์คุณภาพสูง การใช้วัสดุคุณภาพสูง และการออกแบบที่เน้นการใช้งานได้จริงเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นลายไม้ที่ได้รับการออกแบบพิเศษ designo high-gloss sunburst brown myrtle wood แบบ 2 โทนสี (two-tone) รวมทั้งเบาะนั่งหุ้มหนัง NappaแบบExclusive package ตัดเย็บลายเบาะแบบ diamond design พร้อมด้วยผ้าหลังคา และแผงบังแดดด้านหน้าหุ้มด้วย DINAMICA microfibre พร้อมด้วยไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสาร (Ambient Lighting) ที่สามารถปรับเฉดได้ถึง 7 สี
ระบบให้บริการข้อมูลของ เอส-คลาส จะแสดงผลผ่านหน้าจอดิสเพลย์แบบTFT มีความละเอียดสูงมีขนาด 31.2 ซม. จำนวน 2 จอ โดยตัวแรกด้านหน้าคนขับสำหรับให้ข้อมูลการวัดค่าต่างๆ ส่วนจอด้านซ้ายสำหรับให้ข้อมูลระบบความบันเทิงต่างๆรวมถึงการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต และยังสามารถควบคุมการทำงานได้จากรีโมทคอนโทลและแป้นควบคุมตรงคอนโซลกลาง ที่นั่งด้านหลังมีจอแสดงผลอีก 2ตำแหน่ง ขนาด 25.4 ซม. อีกทั้งระบบควบคุมอุณหภูมิภายในเมอร์เซเดส-เบนซ์เอส-คลาส ใหม่ สามารถปรับอุณหภูมิได้พอเหมาะสะดวกสบายทุกที่นั่งซึ่งนับเป็นมาตรฐานใหม่ที่ระบบสามารถแยกการทำงานอิสระได้ตามความต้องการของผู้โดยสารแต่ละที่นั่ง
ที่พิเศษสำหรับ เอส-คลาส คือได้รับการติดตั้งระบบ active perfuming system มาพร้อมกับ AIR-BALANCE Package เป็นครั้งแรกของโลก โดยระบบจะผลิตกลิ่นหอมและปรับระดับความหอมได้ด้วยตัวคุณเอง ขณะที่เบาะหนังได้รับการออกแบบโครงสร้างเบาะให้มีน้ำหนักเบาขึ้นประมาณ 20 กก. โดยติดตั้งระบบนวดแบบผ่อนคลาย พร้อมระบบระบายอากาศเบาะนั่งโดยใช้พัดลมดูดอากาศ (reversing fans) และระบบอุ่นเบาะนั่ง สำหรับเบาะนั่งด้านหลังฝั่งซ้ายเป็นแบบ Executive Seat สามารถปรับเอนพนักพิงเพิ่มขึ้นได้จาก 37 เป็น 43.5 องศา ซึ่งเป็นองศาของการปรับเอนพนักพิงที่มากที่สุดในเซ็กเมนต์ของรถยนต์รุ่นนี้
ที่นั่งตอนหลัง เอส-คลาส ใหม่ เพิ่มแพ็กเกจสำหรับผู้โดยสาร (Chauffeur package) ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกสบายและป้องกันการได้รับการบาดเจ็บจากการเกิดอุบัติเหตุ ด้วยฟังก์ชั่น “Chauffeur” ที่สามารถปรับเลื่อนเบาะที่นั่งผู้โดยสารด้านหน้าไปด้านหน้าได้อีก 40 มม. และเลื่อนขึ้นด้านบนได้อีก 37 มม. จากตำแหน่งปกติ ทำให้มีพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารตอนหลังเพิ่มขึ้น
เอส-คลาส ใช้ชุดเครื่องเสียงคุณภาพ Burmester® Surround Sound System พร้อมลำโพง 13 ตัว ซึ่งให้ระดับเสียงคมชัดเซอร์ราวซาว์รอบทิศทางแบบ “feel-good sound” โดยจะทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพกับระบบFrontbass systemซึ่งเป็นระบบที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้พัฒนาเทคโนโลยีนี้และได้นำมาใช้ในรถยนต์ซาลูนเป็นครั้งแรก
ระบบการขับเคลื่อน - ประหยัดน้ำมัน
เอส-คลาส รุ่นที่เปิดตัวในประเทศไทย คือ รุ่นS 400 HYBRID AMG Premium ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน แบบ V6 ขนาด 3,498 ซีซี กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 225 กิโลวัตต์ (306แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตรที่ 3,500 - 5,250รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 20 กิโลวัตต์( 27แรงม้า) แรงบิดสูงสุดที่ 250 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0 - 100 กม./ชม. ภายในระยะเวลา 6.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 16 กม./ ลิตร และอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยเฉลี่ย 147 กรัม/กม.โดยพละกำลังถูกถ่ายทอดผ่านเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 7 จังหวะแบบ 7G-TRONIC PLUS พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบ DIRECT SELECT ที่สำคัญมีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงน้อยกว่ารุ่นก่อนถึง 20 %
ส่วนตัวถังลือกใช้โครงสร้างแบบอะลูมเนียมผสม และใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบากว่าที่เคยใช้ในรุ่นก่อนหน้าถึง 95 กิโลกรัม แต่มีความแข็งแกร่งและทนทานต่อแรงบิดเพิ่มขึ้น 50% สำหรับระบบความปลอดภัย ล่าสุดได้เพิ่มระบบ PRE-SAFE®Impulse ซึ่งจะทำงานเมื่อเกิดอุบัติเหตุจากด้านหน้า โดย ผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าจะถูกเข็มขัดนิรภัยดึงให้ออกห่างจากทิศทางที่ถูกเชี่ยวชนตั้งแต่จังหวะแรกก่อนรถถูกชน และจะลดแรงดึงกลับ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและความรุนแรงของอาการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้น
สำหรับความปลอดภัยผู้โดยสารด้านหลัง มีการเพิ่มอุปกรณ์หัวเข็มขัดนิรภัยแบบเรืองแสงที่เบาะหลังแบบปรับระดับเองอัตโนมัติ (Active Seat-Belt Buckle) เข็มขัดนิรภัยแบบถุงลมสำหรับผู้โดยสารด้านหลังริมหน้าต่าง (Beltbag) เข็มขัดนิรภัยเบาะหลังนี้จะทำหน้าที่ปกป้องโดยรั้งตัวผู้โดยสารโดยอัตโนมัติเพื่อเตรียมพร้อมกับอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น เท่ากับว่าเอส-คลาส ใหม่มาพร้อมกับเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยใหม่ที่ผสานความสะดวกสบายและความปลอดภัยเข้าไว้ด้วยกันซึ่งเรียกว่าระบบ “Mercedes-Benz Intelligent Drive” เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยสูงสุด
นอกจากนั้นยังมีระบบอำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR (Acceleration skid control) ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชั่น HOLD และ Hill-Start Assist ระบบรักษาระดับความเร็ว (cruise control) และจำกัดความเร็ว (SPEEDTRONIC) เซ็นเซอร์ช่วยในการนำรถเข้าจอด (PARKTRONIC) กล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยรถ (reversing camera) และระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist) ฟังก์ชันเปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ (HANDS-FREE ACCESS) และระบบ MAGIC VISION CONTROL ซึ่งเป็นระบบการทำงานของใบปัดน้ำฝนที่มีประสิทธิภาพสูง โดยน้ำฉีดล้างกระจกจะถูกส่งออกมาจากก้านปัดน้ำฝนโดยตรง โดยมีการปัดในสองทิศทาง ทำให้ไม่มีการกระจายตัวของละอองน้ำที่จะมาบดบังทัศนวิสัยของผู้ขับขี่ในขณะฉีดน้ำ และยังช่วยให้การทำความสะอาดกระจกบังลมหน้าสามารถทำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
เอส-คลาส ใหม่ มาพร้อมกับราคา 11.4 ล้านบาท และลูกค้าสามารถสั่งจองได้ตั้งแต่วันนี้. รับรถปลายปี …