xs
xsm
sm
md
lg

มันกว่าเดิม เพิ่มทักษะ...“เอ-คลาส ใหม่”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คุ้นๆว่าผู้เขียนเพิ่งจะเข้าร่วมงาน Mercedes-Benz Driving Experience (MBDE) ครั้งที่ 9 ไปเมื่อกลางปีที่แล้ว ซึ่งเหมือนทุกปีที่ค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ จะเดินสายจัดกิจกรรมนี้ไปทั่วโลก โดยมุ่งหวังแสดงศักยภาพ-สมรรถนะ และสุดยอดระบบความปลอดภัยที่ติดมาให้ในรถยนต์หลายรุ่น พร้อมๆไปกับเปิดประสบการณ์การขับขี่ใหม่ๆให้ลูกค้าเก่า,กลุ่มเป้าหมาย และสื่อมวลชน

ทีมผู้ฝึกสอนชาวออสเตรเลีย
ปีนี้กิจกรรม Mercedes-Benz Driving Experience ครั้งที่ 10 มาเร็วเกินคาด เหตุก็เพราะจังหวะเหมาะพอดีกับการเริ่มทำตลาดของ “เอ-คลาส ใหม่” (W176) อย่างบ้านเราเปิดตัวพร้อมรับจองในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2012 ที่ผ่านมา ส่วนรถคันจริงจะพร้อมส่งมอบได้ในเดือนเมษายนนี้

ปีนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ยึดสนามโบนันซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล สปีดเวย์ เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา เป็นสถานที่จัดงาน โดยใช้ “เอ-คลาส” ล้วนๆครับ ทั้งรุ่น A180 และA250 แถมเปลี่ยนทีมผู้ฝึกสอนใหม่ ยกชุดมาจากประเทศออสเตรเลีย และแม้หน้าตายังดูหนุ่มแน่นแต่ถ้าเปิดโปรไฟล์ของแต่ละคนแล้วต้องบอกว่าไม่ธรรมดา เพราะเป็นนักแข่งมืออาชีพ ดีกรีแชมป์ระดับประเทศทั้งนั้น ขณะเดียวกันสถานีต่างๆที่ออกแบบมา ยังเน้นการขับแบบสนุก เร้าใจ หรือเอามันตามสไตล์รถวัยรุ่นอย่าง “เอ-คลาส”อีกด้วย

สำหรับ A180 จะวางเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.6 ลิตร เทอร์โบ122 แรงม้า ขณะที่ A250 วางเบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบ 211 แรงม้า ทั้งสองรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ส่วนออปชันความปลอดภัยที่จัดให้เป็นมาตรฐานเหมือนกันคือ โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP (Electronic Stability Program) ระบบช่วยเบรก BAS (Brake Assist) ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS (Anti-lock braking system) ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR (Acceleration skid control) รวมถึงถุงลมนิรภัยคู่หน้า พร้อมม่านถุงลมป้องกันศีรษะ (คนขับและผู้โดยสารด้านหน้า)
A180 กับสลิป ไทร์คู่หลัง


ผู้เขียนประเดิมสถานีแรกด้วยการควบคุมรถบนทางเปียก กับ A180 ซึ่งคราวนี้ไม่เหมือนกับครั้งเดิมๆ เพราะนอกจากทีมงานจะพรมน้ำเต็มแทรกแล้ว ยังนำเข้ายางพิเศษมาจากฟินแลนด์ที่ชื่อเรียกตรงๆว่า “สลิป ไทร์” (Slip Tyre) ที่หุ้มวัสดุพิเศษ(โพลิเมอร์แข็งๆ)ทับเนื้อยางปกติไว้อีกชั้น (ล้ออัลลอย์ขนาด17 นิ้ว) หวังลดประสิทธิภาพการเกาะถนน รวมถึงการปิดระบบ ESP เพิ่มความท้าทายขึ้นไปอีกขั้น

โดยสถานีนี้ผู้ฝึกสอนหวังให้ผู้ขับ ได้เรียนรู้ที่จะแก้อาการของรถที่หลุดโค้ง เพราะไหนพื้นจะลื่นจากน้ำ บวกกับล้อคู่หลังที่เป็น“สลิป ไทร์” ขณะที่การเปิดหรือปิดระบบ ESP แทบไม่ช่วยให้การควบคุมรถดีขึ้น

...อย่างไรก็ตามถ้าใครจะขับย่องเข้ากรวยที่ความเร็ว 30-40 กม./ชม.ก็ได้ (อาการไม่ออก) เพียงแต่ถ้าเราใช้ความเร็วมากขึ้น รถจะเกิดอาการหมุน ท้ายปัด ซึ่งเป้าประสงค์ของผู้ฝึกสอนนั้นอยากให้เราสัมผัสประสบการณ์ดังกล่าว พร้อมฝึกการแก้ไขสถานการณ์ไปในตัว ไม่ว่าจะเป็นการผ่อน(ยก)คันเร่ง และการบังคับทิศทางของพวงมาลัย
A250 หล่อเข้ม

ในช่วงบ่ายผู้เขียนโยกมาประจำที่สถานี “จิมคาน่า” กับ A250 ที่มีการลองขับจับเวลาวัดผลบนระยะทางประมาณ 150 เมตร วิ่งเข้ากรวยที่วางเป็นช่อง และหมุนตัวเข้าวงเวียน หลักการคือฝึกการเดินคันเร่งให้เหมาะสม และควบคุมพวงมาลัยที่แม่นยำ พร้อมใช้ Eye Technic คือการมองล่วงหน้า ในช่องทางที่จะไป ซึ่งตามสัญชาตญาณ เราก็จะควบคุมพวงมาลัยไปตามทิศทางนั้น

สำหรับ A250 ที่มาพร้อมชุดแต่ง AMG รอบคัน การตกแต่งภายนอก และภายในเร้าใจกว่า A180 เยอะ เช่นเดียวกับเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบ 211 แรงม้า ขับได้บู๊ดุดัน ช่วงล่างที่รู้สึกจะหนึบหนับขับสปอร์ต แถมเสียงท่อไอหวานๆ ขับมันสุดๆกับด่าน“จิมคาน่า”

เท่านั้นไม่พอผู้เขียนยังได้ควบA250 ในสถานีเปลี่ยนเลนกะทันหัน คราวนี้เป็นการโชว์ระบบ ESP ที่มีประโยชน์มากในช่วงเวลาฉุกเฉิน โดยระบบพยายามรักษาเสถียรภาพการทรงตัวด้วยการ ลดกำลังเครื่องยนต์และเพิ่มแรงเบรกในล้อที่จำเป็น เพื่อดึงให้รถกลับมาอยู่ในวิถีการควบคุมให้มากที่สุด

ปิดท้ายด้วยการแข่ง Drag แบบขำๆบนทางตรงยาวๆ (ประมาณ Fast & Furious) สถานีนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าความสนุกสนาน และโชว์สมรรถนะของ A250 ที่เห็นตามสเปกว่า อัตราเร่ง0-100 กม./ชม.ทำได้เพียง 6.6 วินาที(A180 ทำได้ 9.1 วินาที)
ภายใน A250 พร้อมชุดแต่งAMG สปอร์ตเต็มขั้น

ทั้งนี้แล้วแต่เทคนิคของใครของมันครับว่าจะเปลี่ยนโหมดการขับขี่จากปกติไปเป็นสปอร์ต หรือเลือกเล่นเปลี่ยนเกียร์เองแบบแมนวล อย่างผู้เขียนเองได้ลองครบหมดละครับ มีทั้งแพ้ชนะสลับกันไป

แต่กระนั้นสิ่งที่ประทับใจแน่ๆคือการใช้โหมดแมนวล เลือกเปลี่ยนเกียร์ด้วยแพดเดิลชิฟท์ของ A250 นั้นทำได้กระฉับรวดเร็ว พร้อมแฝงอาการกระฉากดึงเอาไว้นิดๆ

สำหรับกิจกรรมMercedes-Benz A-Class Driving Experience 2013 จบลงด้วยความประทับใจ หลายคนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเต็มที่ และแม้การขับขี่ในชีวิตจะไม่มีใครสักคนอยากให้เกิดอุบัติเหตุ แต่ถ้ามีการฝึกฝนไว้บ้าง บวกกับตั้งมั่นในความไม่ประมาทและมีสติสัมปชัญญะ ....น่าจะช่วยให้รอดพ้นหรือผ่อนจากหนักให้เป็นเบาได้


ปิดท้ายด้วยการแข่งDrag
กำลังโหลดความคิดเห็น