จากช่วงเวลาคาบเกี่ยวตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงต้นปีนี้ จำนวนรุ่นรถจักรยานยนต์ที่จอดขายอยู่ในดีลเลอร์ของค่ายปีกนก นับวันจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นๆ เหตุเพราะการขยายผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาด เพื่อหวังตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ครบทุกกลุ่มความต้องการ
โดยรุ่นรถที่เพิ่งเปิดตัวล่าสุด (เปิดตัวเดือน ม.ค. วางขาย ก.พ. ปล่อยรถให้ทดสอบ มิ.ย.) คือ ฟอร์ซ่า300 (Forza300) สองล้อสไตล์ออโตเมติก ชูความโดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ที่หรูหรา เป้าหมายเพื่อเอาใจสิงห์นักบิดผู้ต้องการบิ๊กสกู๊ตเตอร์ระดับพรีเมียม พร้อมการเข้าถึงหาซื้อได้ง่ายตามร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วไป เคาะราคา 159,000 บาท
สำรวจรูปร่างหน้าตาโดยรวมถือว่าทำออกมาได้ดูดีทีเดียว เส้นสายงานออกแบบภายนอกโค้งมน ไฟหน้าแบบสองดวงทรงสปอร์ตเช่นเดียวกับไฟท้าย โดยมีไฟเลี้ยวแบบฝังรวมอยู่ในชุดเดียวกัน ส่วนแฟริ่งใช้แบบชิ้นเดียวขนาดใหญ่ เน้นโทนสีเรียบสะท้อนความหรูหรา พักเท้าหลังออกแบบได้เนียนกับตัวรถ ไม่เกะกะสายตา มือจับด้านท้ายดีไซน์เหมือนสปอยเลอร์ มีความสวยงามและใช้งานได้จริง
มาถึงเรือนวัดความเร็วแบบดิจิตอลผสมอนาล็อก มีฟังก์ชันแสดงระดับน้ำมันเชื้อเพลิง ความเร็ว รอบเครื่องยนต์ อุณภูมิความร้อน นาฬิกา และค่าเฉลี่ยอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง อีกทั้งยังมีสัญญาณไฟเตือนเมื่อครบระยะเวลาเปลี่ยนน้ำมันเครื่องอีกด้วย
ก่อนถึงการทดลองขี่ มาทำความเข้าใจแนวคิดการพัฒนาของโกบอลโมเดลรุ่นนี้กันก่อนว่า “ฟอร์ซ่า300” กำเนิดมาจากคอนเซปท์ “The Grand Voyage” โดยต้องการเน้นให้ผู้ขับขี่สัมผัสได้ถึงประสบการณ์และความประทับใจระหว่างการเดินทาง ดังนั้น จุดเด่นของท่านั่งและความสะดวกสบาย จึงต้องนำมากล่าวถึงเป็นอันดับแรกว่าจะทำได้อย่างที่ตั้งใจไว้หรือไม่
เริ่มจากความสูงของเบาะที่ค่อนข้างต่ำเพียง 716 มม. อีกทั้งพื้นที่รองรับมีส่วนโค้งเว้าให้ช่วงขายันพื้นได้สะดวก เมื่อเทียบกับรุ่นน้องในสังกัดอย่าง พีซีเอ็กซ์150 (PCX150) ความสูงเบาะ 761 มม. ความรู้สึกแทบไม่แตกต่าง เนื้อเบาะนุ่มกำลังลังดี ท่านั่งให้ความสบาย ไม่รู้สึกเกร็ง แถมมีพนักพิงขนาดใหญ่โอบรับให้ความกระชับกับบั้นท้ายอีกด้วย
ส่วนช่วงแขนการจับแฮนด์บังคับไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป ขณะที่การวางขาบนพักเท้าสามารถเลือกได้ว่าจะวางขนานกับพื้นหรือยันไปข้างหน้าเล็กน้อย ทั้งนี้ ตำแหน่งการยันฝ่าเท้าออกแบบมารู้สึกว่าองศาชันไปนิด ถ้าลดมุมให้ลาดเอียงลงหน่อย สรีระของร่างกายกับการควบคุมรถจากเดิมที่ดีอยู่แล้ว น่าจะสบายมากขึ้นไปได้อีก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความสบายของท่านั่งจะสอบผ่านได้คะแนนเต็ม แต่ในด้านความสะดวก อย่างการบรรทุกสัมภาระมันน่าจะออกแบบมาได้ดีกว่านี้ เนื่องจากพื้นที่ใต้เบาะดูผิวเผินเหมือนจะกว้าง ด้วยความจุถึง 62 ลิตร รวมถึงฮอนด้าให้ข้อมูลไว้ว่าสามารถใส่หมวกกันน็อกแบบเต็มใบได้ถึง 2 ใบ แต่เอาเข้าจริงลองแล้วใส่ได้เพียงใบเดียวเท่านั้น!
ขณะที่การใช้งานค่อนข้างลำบากเพราะเปิดได้แคบเกินไป ส่งผลให้การใส่หรือหยิบสิ่งของไม่สะดวก ยังดีที่ได้ช่องเก็บของตรงคอนโซลด้านหน้า ทั้งซ้ายและขวามาเฉลี่ยคะแนนช่วยในส่วนนี้ โดยด้านซ้ายเปิด-ปิด ด้วยปุ่มควบคุมใช้งานสัมพันธ์กับสวิตซ์กุญแจ และมีช่องจ่ายไฟสำรองไว้ชาร์จพวกมือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตั้งไว้ด้วย ส่วนด้านขวาสามารถดึงฝาเปิดล็อกออกได้ด้วยตัวเอง
มาถึงสมรรถนะและการขับเคลื่อนจากขุมพลังเครื่องยนต์ 4 จังหวะ OHC ปริมาตรกระบอกสูบ 279 ซีซี. จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด ส่งกำลังด้วยสายพาน V-Matic การควบคุมรถ ขี่ง่าย ทำได้คล่องตัว ความเร็วช่วงต้นถึงกลางจาก 0-80 กม./ชม. ค่อนข้างอืด ไม่พุ่งหรือจัดจ้านอย่างที่คิด เนื่องจากตัวรถต้องแบกน้ำหนักเกือบ 200 กก. จังหวะการเร่งแซงไม่ค่อยมั่นใจ บางครั้งต้องเค้นบิดคันเร่งหมดปลอกจึงจะรู้สึกถึงความต่างของขุมพลังที่มากกว่ารถออโตเมติกในท้องตลาด แต่เมื่อใช้ความเร็วประมาณ 100 กม./ชม. รอบเครื่องยนต์กำลังตึงมือหรืออยู่ที่ 7,000 รอบต่อนาที เริ่มรู้สึกถึงความสนุก แม้ต้องรับแรงปะทะจากลมเพราะชิลด์ด้านหน้าเล็กไปหน่อย แต่ไปหาซื้อของแต่งจาก H2C (แบรนด์อุปกรณ์ตกแต่งของฮอนด้า) เปลี่ยนใส่ทีหลังก็ได้
อย่างไรก็ตาม อย่าบิดเพลินจนความเร็วเกิน 120 กม./ชม. เพราะแฮนด์บังคับจะเริ่มออกอาการไม่นิ่ง มีส่ายบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับน่าเกลียด
ทั้งนี้ มีสิ่งที่ผู้เขียนแปลกใจอยู่อย่างหนึ่ง คือ ระบบช่วงล่างซับแรงกระแทกมาแนวสปอร์ต เซตมาค่อนข้างแข็งทั้งหน้าและหลัง ดูขัดกับบุคลิกของสกู๊ตเตอร์ซึ่งส่วนใหญ่เน้นนุ่มสบาย
ขณะที่ระบบความปลอดภัยจัดเต็มตามสไตล์ฮอนด้าอยู่แล้ว ด้วยระบบป้องกันการล็อคล้อพร้อม ABS ทั้งหน้าและหลัง
ตบท้ายด้วยอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ทำได้เฉลี่ยอยู่ที่ 27 กม./ลิตร ใกล้เคียงกับตัวเลขบนหน้าปัด แสดงผลการประมวลได้ 25.4 กม./ลิตร
บทสรุปของ “ฟอร์ซ่า300” เป็นบิ๊กสกู๊ตเตอร์ที่ตอบโจทย์กลุ่มคนใช้ได้กว้างมาก ไม่ว่าคุณแม่บ้านจะใช้ขี่ไปจ่ายกับข้าว คุณพ่อบ้านใช้รับ-ส่งลูกไปโรงเรียน คนทำงานใช้ในชีวิตประจำวัน หรือพวกชีพจรติดล้อจะขี่เที่ยวออกทริปก็ใช้ได้หมด ด้วยบุคลิกที่ขี่ง่าย ใช้งานในเมืองคล่องตัว เดินทางไกลนั่งสบาย ประหยัดคุ้มค่าเมื่อเทียบกับขนาดเครื่องยนต์ในระดับเดียวกัน ซื้อติดบ้านไว้คันเดียวก็เกินพอ...