บีเอ็มดับเบิลยูจัดการสะกัดการใช้ของใหม่ในการทำตลาดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ด้วยการ เปิดตัวรุ่นปรับโฉม หรือ ไมเนอร์เชนจ์ของซีรีส์5 ออกมาแข่งกับอี-คลาสแล้ว แต่งานนี้อาจจะเหนื่อยหน่อย เพราะเมื่อดูผ่านๆ แล้ว หน้าตาของ F10 ไมเนอร์เชนจ์ ไม่ค่อยแตกต่างจากรุ่นดั้งเดิมที่เปิดตัวในปี 2009 มากนัก
ความเปลี่ยนแปลงเท่าที่สัมผัสได้จาก F10 ไมเนอร์เชนจ์เมื่อมองจากภายนอก คือ ชุดกันชนหน้า ซึ่งได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ในส่วนของช่องสปอตไลท์ ขณะที่ชุดไฟหน้ามีการปรับเฉพาะส่วนรายละเอียดภายใน ขณะที่ด้านท้ายมากับไฟท้ายแบบลวดลายใหม่ ซึ่งจะว่าไปแล้วถ้าเปรียบหมัดต่อหมัดกับความเปลี่ยนแปลงของรุ่นไมเนอร์เชนจ์ด้วยกันกับคู่ปรับอย่างอี-คลาสแล้ว งานนี้ซีรีส์ 5 เสียเปรียบเต็มประตู โดยการปรับเปลี่ยนครั้งนี้มีขึ้นในทุกตัวถังของเจนเนอเรชั่นซีรีส์ 5 ทั้งซีดาน แวกอน GT หรือแม้แต่รุ่น M5
อย่างไรก็ตาม ซีรีส์ 5 มีทางเลือกของเครื่องยนต์ให้สัมผัสมากมาย เรียกว่าครอบคลุมในทุกระดับความเร้าใจตั้งแต่รุ่นเล็กอย่าง 518d ที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี เทอร์โบคู่ ซึ่งได้รับการพัฒนาให้มีกำลังอยู่ในระดับ 143 แรงม้า พร้อมอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 9.6 วินาที
ตามด้วยรุ่น 530d ที่มีกำลังขยับขึ้นมาเป็น 258 แรงม้า และ 535d ที่มีกำลัง 313 แรงม้า ส่วนรุ่นท็อปของดีเซลมากับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อในเวอร์ชัน xDrive ในรหัส M550d วางเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง 3,000 ซีซี เทอร์โบคู่ มีกำลังสูงสุด 381 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 75.4 กก.-ม.
สำหรับรุ่นเบนซินเริ่มกับรหัส 520i ที่ได้รับการยกระดับจำนวนม้าในคอกขยับขึ้นมาเป็น 184 ตัว ตามด้วย 528i ที่มีกำลัง 245 แรงม้า และ 535i แรงสุดในเครื่องยนต์แบบสูบเรียง โดยใช้ขุมพลังยอดฮิต 6 สูบ 3,000 ซีซี เทอร์โบคู่ 306 แรงม้า ขณะที่ตัวท็อปของเวอร์ชั่นธรรมดาเป็นรุ่น 550i ใช้เครื่องยนต์วี8 เทอร์โบคู่ ที่ได้รับการเพิ่มแรงม้าจากเดิมอีก 10% มาอยู่ที่ 450 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 66.2 กก.-ม.ใช้เวลา 4.6 วินาที สำหรับอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบส่งกำลังมีให้เลือกทั้งแบบธรรมดา 6 จังหวะ และแบบอัตโนมัติ 8 จังหวะขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย
สำหรับราคาของซีรีส์ 5 ใหม่เริ่มต้นที่ 50,425 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 1.5 ล้านบาท (ในสหรัฐอเมริกา) ส่วนบ้านเราน่าจะเข้ามาขายกันในช่วงปลายปีนี้
