ต่อเนื่องกับเรื่องราวอันน่าภาคภูมิใจของคนไทย หลังจากเริ่มสร้างชื่อเป็นที่รู้จักในฐานะนักแข่งของสยามประเทศแล้ว ในปีต่อมา... “พ.พีระ” ชนะเลิศการแข่งขันครั้งแรกในรายการ Coupe de Prince Rainier ที่เซอร์กิต เดอ โมนาโก (ปัจจุบันคือโมนาโก กรังด์ปรีซ์) ได้รับถ้วยเจ้าชายเรนีย์แห่งโมนาโก เมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2479 โดยทรงขับรถรอมิวลุส
เมื่อเปิดฉากการแข่งขันรถเบาระหว่างชาติปี พ.ศ.2479 ที่โมนาโก ท่ามกลางนักแข่งคนสำคัญของชาติต่างๆ ทั้งฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี และสวิสฯ มีรถเข้าแข่งขัน 18 คัน การแข่งขันจบลงด้วยชัยชนะของ พ.พีระ ธงไตรรงค์สัญลักษณ์ประจำชาติไทย ถูกชักขึ้นสู่ยอดเสา และครั้งต่อไปที่สนามบรู๊กแลนด์ ประเทศอังกฤษ มีรถเข้าแข่งถึง 40 คัน พ.พีระ ก็สามารถคว้าชัยชนะอันดับ 1 ได้อีกครั้ง
ต่อมาในเดือนมิถุนายน ด้วยความสามารถอันยอดเยี่ยม เพลงสรรเสริญพระบารมีได้ดังกระหึ่มขึ้นในประเทศฝรั่งเศสที่สนามแข่งปิการ์ดี แต่เป็นที่น่าเสียดายเหลือเกินที่ชัยชนะครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่กรุงเบิร์น ในการแข่งขันเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ.2479 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 พร้อมด้วยสมเด็จพระอนุชาธิราช (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน) และสมเด็จพระราชชนนี รวมถึงสมเด็จพระพี่นางเธอ ได้ทรงเสด็จทอดพระเนตรถึงสนามแข่งที่กรุงเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อันเป็นที่ประทับ แต่ปรากฏว่ารถของ พ.พีระ เครื่องยนต์พัง ทั้งๆ ที่ชัยชนะอยู่แค่เอื้อม ต้องออกจากการแข่งขันไปอย่างน่าเสียดาย...
อย่างไรก็ตาม เพลงสรรเสริญพระบารมีก็ได้บรรเลงขึ้นอีกที่เมืองอาลบี ประเทศฝรั่งเศส ทำให้ชื่อเสียงของ พ.พีระ ในขณะนั้นถึงขีดอันดับสูงสุดของบรรดานักขับรถแข่งในยุโรป หนังสือพิมพ์ในประเทศต่างๆ ในยุโรปรวมถึงในไทย ต่างให้การยกย่องและเชิดชูเกียรติให้กับ พ.พีระ โด่งดังเป็นคนเก่งของโลก โดยไม่มีใครนึกฝันและคาดหมายว่า “ชาวสยามตัวเล็กๆ คนนี้จะได้รับความสำเร็จอันน่าอัศจรรย์ขึ้นเป็นคนแรก”
ในช่วงเวลาเพียง 2 ปี ชื่อของ พ.พีระ เข้ามาอยู่ในกลุ่มนักแข่งรถที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุโรป และได้ทำสถิติความเร็วใหม่ไว้ที่สนามแข่งหลายแห่งในการแข่งรถเบาระหว่างชาติในประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ไอร์แลนด์ เยอรมนี และโมนาโค ทรงชนะเลิศการแข่งรถในยุโรปอีกหลายครั้ง
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ทรงแข่งรถโดยการสนับสนุนของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทั้งสองพระองค์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในหมู่นักแข่งรถในชื่อ Prince Bira และ Prince Chula ทรงขับรถยี่ห้อ อี.อาร์.เอ. (English Racing Automobiles - E.R.A.) ทาสีฟ้าสดใสในการแข่งขัน ชื่อ รอมิวลุส (Romulus) รีมุส (Remus) และ หนุมาน (Hanuman) สีฟ้าแบบนี้ ปัจจุบันเรียกว่า ฟ้าพีระ (Bira blue) โดยมีผลงานซึ่งเป็นที่จดจำมากที่สุดคือ ชนะเลิศการแข่งขันรถยนต์นานาชาติทั่วทวีปยุโรป 3 ปีซ้อน ระหว่างปี พ.ศ. 2479-2481 (ปี 1936-1938) จนได้รางวัล ดาราทอง (B.R.D.C. Road Racing Gold Star) จากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร และได้รับการบรรจุชื่อในหอเกียรติยศของสมาคมนักแข่งรถอังกฤษ
เมื่อเสียงสรรเสริญกึกก้องข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงสยามประเทศ รัฐบาลในขณะนั้นซึ่งมี พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้ทูลเชิญ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ และพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช เสด็จกลับมาเยือนกรุงเทพมหานคร ในระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2480 และนำรถแข่งรอมิวลุสกลับมาด้วย
และในที่สุดประชาชนชาวสยามก็ได้ชื่นชมความสามารถอย่างใกล้ชิด เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2480 โดยราชยานยนต์สมาคมแห่งสยาม จัดแสดงรถแข่งรอมิวลุสพร้อมการขับโชว์ไปตามถนนราชดำเนิน ตลอดจนการจัดงานแข่งขัน “การประลองความเร็ว” ณ สวนมิสกวัน เพื่อเป็นการต้อนรับวีรบุรุษ “พ.พีระ เจ้าดาราทอง” เดินทางกลับสู่มาตุภูมิ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในช่วงงานฉลองรัฐธรรมนูญด้วย จึงมีผู้คนเข้ามาชมเป็นจำนวนมาก
ในระหว่างที่ พ.พีระ แข่งขันอยู่ในอังกฤษและยุโรปนั้น ตั้งแต่ปี พ.ศ.2477 ทางกรุงรัตนโกสินทร์ ได้จัดงานชุมนุมยานยนต์แข่งขันล้อเลื่อน ณ ท้องสนามหลวง และที่สนามม้าราชตฤณมัย และในช่วงต้นปีต่อมาก็จัดงาน “ชุมนุม ร.ย.ส.ส. R.A.A.S. Rally” ณ สวนมิสกวัน ในวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ.2478 ซึ่งในสมัยนั้น การจัดชุมนุมยานยนต์ พอจะแบ่งได้ออกเป็น 7 ประเภทคือ การประกวดตัวถังรถยนต์, การเล่นกีฬารถยนต์, การประลองความเร็ว, การประลองความแข็งแรง, การแข่งขันในภูมิประเทศระหว่างเมือง, การแข่งไต่เนิน และการแข่งแรลลี่
การจัดงานชุมนุมรถยนต์แบบต่างๆ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตามลำดับ ตลอดหลายปีต่อเนื่องกันมา ควบคู่กับข่าวคราวการแข่งขันของ พ.พีระ ยิ่งเป็นแรงจูงใจกระตุ้นให้ผู้เป็นเจ้าของรถสนใจออกมาร่วมชุมนุมกันอย่างตื่นตาตื่นใจ
ต่อมาในเดือนมีนาคม พ.ศ.2481 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ได้ทรงเป็นประธานกรรมการจัดงานชุมนุมยานยนต์ เพื่อร่วมมือกันจัดหาเงินบำรุงการทหารของกระทรวงกลาโหม และด้วยความสำเร็จของการจัดงานครั้งนี้ พระองค์ท่านจึงทรงดำริที่จะจัดการแข่งขันอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นการแข่งระหว่างชาติเช่นเดียวกับการแข่งขันในยุโรป โดยมีกำหนดในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2482 สำหรับการจัดการแข่งขัน “รางวัลใหญ่กรุงเทพฯ” หรือกรุงเทพฯ กรังด์ปรีซ์ (Bangkok Grand Prix) โดยเชิญนักแข่งชั้นนำมาแข่งขันบนเส้นทางรอบสนามหลวงและพระบรมมหาราชวัง ระยะทาง 2 ไมล์ แต่การแข่งขันนี้ต้องยกเลิกไป เพราะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นเสียก่อน
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง พ.พีระ จึงกลับคืนสู่สนามแข่งกรังด์ปรีซ์อีกครั้ง ในปี พ.ศ.2489 เข้าแข่งขันด้วยรถ รอมิวลุส และรถ หนุมาน หรือฝรั่งเรียกว่า “Siamese monkey-god” และครั้งสุดท้ายของรถ E.R.A. ชนะการแข่งขัน Ulster TT 1947 เป็นรถแข่งที่ทำสถิติให้พระองค์เจ้าพีระฯ ได้รับชัยชนะมากที่สุด
ต่อมา พ.ศ.2491 พระองค์เจ้าพีระฯ เปลี่ยนมาใช้รถแข่งคันใหม่ Maserati 4CLT/48 ได้รับชัยชนะที่สนาม Zandvoot ปีต่อมาชนะการแข่งขันสวีดีชกรังด์ปรีซ์ และได้อันดับที่ 2 อาร์เจนตินา กรังด์ปรีซ์ ซึ่งในปี พ.ศ.2494 สมาพันธ์รถยนต์นานาชาติ หรือ FIA ได้สถาปนาการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง หรือ Formula One ชิงแชมป์โลกขึ้นเป็นปีแรก ดังนั้น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช หรือ พ.พีระ จึงเป็นคนไทยพระองค์แรกซึ่งอยู่ในทำเนียบนักแข่งรถสูตรหนึ่ง ช่วงตั้งแต่ปี พ.ศ.2467-2497
พระองค์เจ้าพีระฯ นอกจากจะทรงเป็นนักแข่งรถไทยคนแรกที่มีเกียรติประวัติ สร้างชื่อเสียงและผลงานไว้อย่างอเนกอนันต์ หลังยุติบทบาทการแข่งขันรถยนต์แล้ว พระองค์ท่านเสด็จกลับมาอยู่ประเทศไทย เปิดธุรกิจสายการบินชื่อ Bira Air Transport Ltd. และทรงได้เขียนหนังสือเรื่องราวการผจญภัยไว้หลายเล่ม
ชีวิตส่วนพระองค์
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช เสกสมรสกับนางสาวซีริล เฮย์ค็อก ชาวอังกฤษ (หม่อมซีริล ภาณุพันธ์ ณ อยุธยา) เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ.2480 ก่อนจะหย่าขาดกันใน 11 ปี ต่อมาทรงสมรสใหม่กับหม่อมชลิต้า โฮวาร์ด ชาวอาร์เจนตินา และทรงเสด็จกลับประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.2499 หลังจากหม่อมชลิต้าตั้งครรภ์พระโอรสคือ หม่อมราชวงศ์พีรเดช ภาณุพันธุ์ รวมถึงตัดสินพระทัยแขวนถุงมืออำลาชีวิตนักแข่ง สิ้นสุดบทบาทของเจ้าดาราทองที่โด่งดังไปทั่วยุโรป เมื่อพระชนม์ได้ 42 ปี และต่อมาพระองค์เจ้าพีระฯ ทรงสมรสอีกครั้งเมื่อ พ.ศ.2500 กับหม่อมสาลิกา กะลันตานนท์ และหย่าขาดกันใน พ.ศ.2506 จากนั้นทรงสมรสกับหม่อมอรุณี จุลทะโกศล และหม่อมชวนชม ไชยนันท์
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช สิ้นพระชนม์ที่สถานีรถไฟบารอนส์คอร์ตในกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2528 โดยขณะสิ้นพระชนม์ไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นใคร ก่อนจะเป็นข่าวใหญ่ในสัปดาห์ต่อมา
ข้อมูลและภาพ : จากหนังสือ 8 ทศวรรษ พีระ เจ้าดาราทอง สู่ F1 GRAND PRIX OF THAILAND - การกีฬาแห่งประเทศไทย