ข่าวในประเทศ- “ทีเอที” เด้งรับอุตสาหกรรมรถยนต์พุ่ง และเข้าสู่เออีซี(AEC) เตรียมลงทุน 1,000 ล้านบาท ขยายการผลิตแม่พิมพ์ จิ๊ก และชิ้นส่วน พร้อมทุ่มตั้งโรงงานใหม่แห่งที่ 4 รองรับบริษัทรถยักษ์ใหญ่ เผยกำลังแต่งตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ ระดมเงินลงทุนกลางปีหน้า หวังขึ้นแท่นผู้นำกลุ่มแม่พิมพ์อาเซียน มั่นใจภายใน 4 ปี รายได้แตะ 4,000 ล้านบาท
พยุง ศักดาสาวิตร ประธานกลุ่มบริษัท ไทย ออโต ทูลส์ หรือทีเอที (TAT) และซีอีโอ บริษัท ไทยออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย จำกัด ผู้ผลิตแม่พิมพ์ จิ๊กตรวจสอบชิ้นส่วน และจิ๊กในสายพานการผลิตรถยนต์ รวมถึงชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นโดยกลุ่มคนไทยทั้งหมด เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย และภูมิภาคอาเซียนขยายตัวเป็นอย่างมาก โดยมีไทยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรม ประกอบกับในปี 2558 จะมีการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน หรือเออีซี(AEC) ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตแม่พิมพ์ จิ๊ก และชิ้นส่วนในยานยนต์ กำลังเป็นที่ต้องการของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ กลุ่มทีเอทีจึงต้องเตรียมขยายธุรกิจรองรับในอีก 2-3 ปีจากนี้ไป
“ทีเอทีมีแผนที่จะลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท รองรับการขยายกำลังการผลิตที่โรงงานไทยออโตทูลส์ปทุมธานี(TATP) จำนวนเงิน 250 ล้านบาท และในปีหน้าจะลงทุน 750 ล้านบาท เพื่อตั้งโรงงานแห่งใหม่ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่จังหวัดชลบุรี ภายใต้ชื่อบริษัท ไทย ออโต ทูลส์ (อีสเทิร์น) จำกัด หรือทีเอทีอี(TATE) โดยจะเริ่มผลิตชิ้นในปี 2558 ส่งให้กับให้กับบริษัทโตโยต้าประมาณ 70% และที่เหลือเป็นของบริษัทรถยนต์อื่นๆ ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้”
ทั้งนี้ปัจจุบันกลุ่มทีเอทีมีบริษัทผลิตแม่พิมพ์ จิ๊ก และชิ้นส่วนรถยนต์ รวมทั้งหมด 4 บริษัท โดยเป็นโรงงานอยู่ที่ลาดหลุมแก้วจังหวัดปทุมธานี 2 บริษัท และที่ชลบุรีอีกหนึ่งแห่ง ซึ่งโรงงานที่กำลังจะสร้างในปีหน้าเป็นบริษัทใหม่ล่าสุด ด้วยการนำเครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีการผลิตทันสมัยขนาด 800 และ 2,000 ตันมารองรับการผลิต ทำให้สามารถผลิตชิ้นส่วนงานขนาดใหญ่และมีความเร็วสูง จึงผลิตงานตามความต้องการของบริษัทผู้ผลิตรถได้มาก ขณะเดียวกลุ่มทีเอทียังมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง จึงเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนให้กับโตโยต้า, ฮอนด้า, อีซูซุ, นิสสัน, มิตซูบิชิ, ฟอร์ด และจีเอ็ม เป็นต้น
พยุง เปิดเผยว่า อาเซียนเป็นตลาดที่ใหญ่ และเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของบริษัทรถยนต์จากทั่วโลก โดยมีไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค และเมื่อมีการเปิดเสรีตามกรอบเออีซี ทำให้ยิ่งจะมีการขยายตัวของอุตสาหกรรมอย่างมาก ประกอบกับการย้ายฐานผลิตรถและชิ้นส่วนจากญี่ปุ่นมาในภูมิภาคนี้ จึงทำให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนจึงจำเป็นต้องปรับตัวรับการเติบโตและแข่งขันที่สูงขึ้น
“เหตุนี้กลุ่มทีเอทีจึงเตรียมจะเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประมาณช่วงกลางปีหน้า เพื่อที่จะระดมเงินลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ รวมถึงโครงการต่างๆ ในอนาคต แม้ปัจจุบันจะไม่จำเป็นก็ตาม เพราะตอนนี้ธนาคารอนุมัติวงเงินกู้ลงทุนแต่ละโครงการอยู่แล้ว แต่การเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์จะทำให้ภาระดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง และมีฐานะการเงินที่มั่นคงมากขึ้น ประกอบกับในอนาคตทีเอทีมีแผนลงทุนต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำในกลุ่มผลิตแม่พิมพ์รถยนต์ของอาเซียน จากขณะนี้ที่ทีเอทีเป็นผู้นำของชิ้นส่วนคนไทย ในกลุ่มจิ๊กตรวจสอบและสายพานการผลิตรถยนต์ภูมิภาคนี้อยู่แล้ว เหตุนี้การระดมเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จึงเหมาะสมที่สุด ซึ่งกลุ่มทีเอทีจะเปิดขายหุ้นในสัดส่วน 25%”
สำหรับเป้าหมายรายได้ของกลุ่มทีเอทีปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท ซึ่งจากการรับรู้รายได้ 10 เดือนที่ผ่านมา อยู่ที่ประมาณ 1,200 ล้านบาท และจากคำสั่งซื้อที่เข้ามาในปีหน้า ทำให้มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท และในปี 2558 เมื่อโรงงานแห่งใหม่ผลิตและส่งมอบให้กับบริษัทรถ รายได้จะปรับเพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาท และมากกว่า 3,700 ล้านบาท ในปี 2559 จากบริษัทรถยนต์ใหม่ที่ได้มีการตกลงกันไว้ แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้
พยุง ศักดาสาวิตร ประธานกลุ่มบริษัท ไทย ออโต ทูลส์ หรือทีเอที (TAT) และซีอีโอ บริษัท ไทยออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย จำกัด ผู้ผลิตแม่พิมพ์ จิ๊กตรวจสอบชิ้นส่วน และจิ๊กในสายพานการผลิตรถยนต์ รวมถึงชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นโดยกลุ่มคนไทยทั้งหมด เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย และภูมิภาคอาเซียนขยายตัวเป็นอย่างมาก โดยมีไทยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรม ประกอบกับในปี 2558 จะมีการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน หรือเออีซี(AEC) ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตแม่พิมพ์ จิ๊ก และชิ้นส่วนในยานยนต์ กำลังเป็นที่ต้องการของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ กลุ่มทีเอทีจึงต้องเตรียมขยายธุรกิจรองรับในอีก 2-3 ปีจากนี้ไป
“ทีเอทีมีแผนที่จะลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท รองรับการขยายกำลังการผลิตที่โรงงานไทยออโตทูลส์ปทุมธานี(TATP) จำนวนเงิน 250 ล้านบาท และในปีหน้าจะลงทุน 750 ล้านบาท เพื่อตั้งโรงงานแห่งใหม่ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่จังหวัดชลบุรี ภายใต้ชื่อบริษัท ไทย ออโต ทูลส์ (อีสเทิร์น) จำกัด หรือทีเอทีอี(TATE) โดยจะเริ่มผลิตชิ้นในปี 2558 ส่งให้กับให้กับบริษัทโตโยต้าประมาณ 70% และที่เหลือเป็นของบริษัทรถยนต์อื่นๆ ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้”
ทั้งนี้ปัจจุบันกลุ่มทีเอทีมีบริษัทผลิตแม่พิมพ์ จิ๊ก และชิ้นส่วนรถยนต์ รวมทั้งหมด 4 บริษัท โดยเป็นโรงงานอยู่ที่ลาดหลุมแก้วจังหวัดปทุมธานี 2 บริษัท และที่ชลบุรีอีกหนึ่งแห่ง ซึ่งโรงงานที่กำลังจะสร้างในปีหน้าเป็นบริษัทใหม่ล่าสุด ด้วยการนำเครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีการผลิตทันสมัยขนาด 800 และ 2,000 ตันมารองรับการผลิต ทำให้สามารถผลิตชิ้นส่วนงานขนาดใหญ่และมีความเร็วสูง จึงผลิตงานตามความต้องการของบริษัทผู้ผลิตรถได้มาก ขณะเดียวกลุ่มทีเอทียังมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง จึงเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนให้กับโตโยต้า, ฮอนด้า, อีซูซุ, นิสสัน, มิตซูบิชิ, ฟอร์ด และจีเอ็ม เป็นต้น
พยุง เปิดเผยว่า อาเซียนเป็นตลาดที่ใหญ่ และเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของบริษัทรถยนต์จากทั่วโลก โดยมีไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค และเมื่อมีการเปิดเสรีตามกรอบเออีซี ทำให้ยิ่งจะมีการขยายตัวของอุตสาหกรรมอย่างมาก ประกอบกับการย้ายฐานผลิตรถและชิ้นส่วนจากญี่ปุ่นมาในภูมิภาคนี้ จึงทำให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนจึงจำเป็นต้องปรับตัวรับการเติบโตและแข่งขันที่สูงขึ้น
“เหตุนี้กลุ่มทีเอทีจึงเตรียมจะเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประมาณช่วงกลางปีหน้า เพื่อที่จะระดมเงินลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ รวมถึงโครงการต่างๆ ในอนาคต แม้ปัจจุบันจะไม่จำเป็นก็ตาม เพราะตอนนี้ธนาคารอนุมัติวงเงินกู้ลงทุนแต่ละโครงการอยู่แล้ว แต่การเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์จะทำให้ภาระดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง และมีฐานะการเงินที่มั่นคงมากขึ้น ประกอบกับในอนาคตทีเอทีมีแผนลงทุนต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำในกลุ่มผลิตแม่พิมพ์รถยนต์ของอาเซียน จากขณะนี้ที่ทีเอทีเป็นผู้นำของชิ้นส่วนคนไทย ในกลุ่มจิ๊กตรวจสอบและสายพานการผลิตรถยนต์ภูมิภาคนี้อยู่แล้ว เหตุนี้การระดมเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จึงเหมาะสมที่สุด ซึ่งกลุ่มทีเอทีจะเปิดขายหุ้นในสัดส่วน 25%”
สำหรับเป้าหมายรายได้ของกลุ่มทีเอทีปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท ซึ่งจากการรับรู้รายได้ 10 เดือนที่ผ่านมา อยู่ที่ประมาณ 1,200 ล้านบาท และจากคำสั่งซื้อที่เข้ามาในปีหน้า ทำให้มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท และในปี 2558 เมื่อโรงงานแห่งใหม่ผลิตและส่งมอบให้กับบริษัทรถ รายได้จะปรับเพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาท และมากกว่า 3,700 ล้านบาท ในปี 2559 จากบริษัทรถยนต์ใหม่ที่ได้มีการตกลงกันไว้ แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้